คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5532/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา 142 คำพิพากษานั้นกฎหมายห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้ในสิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง แต่กรณีที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งกระทำต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องพิจารณาสืบพยานกัน ข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงอาจมีผลไม่ตรงหรือเกินกว่าที่ปรากฎในคำฟ้องก็ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้วมีข้อความผิดพลาดไม่ถูกต้องนั้น เมื่อโจทก์บังคับคดี จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะร้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยถูกต้อง โดยอ้างว่าการคิดต้นเงินหรือดอกเบี้ยไม่ถูกต้องตามคำขอท้ายฟ้องอย่างใด ที่ถูกต้องควรเป็นจำนวนเท่าใดแล้วขอให้บังคับคดีไปตามนั้นได้ เพราะคำพิพากษาตามยอมต้องบังคับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่แท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1จะต้องดำเนินการตามลำดับชั้นศาล ในชั้นนี้ศาลฎีกายังวินิจฉัยบังคับให้ไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่ได้ว่ากล่าวกันมาตั้งแต่่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์โดยจำเลยทั้งสามได้จำนองทีดินมีโฉนดหลายแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 นับแต่วันทำสัญญาถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน4,328,796.05 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสามไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 4,328,792.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 4,257,067.39 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนขอให้ยึดทรัพย์จำนองหรือทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามจำนวนที่ฟ้อง โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นไปถูกต้องจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยทบต้นส่วนที่ไม่ถูกต้องแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การวา จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้โจทก์ในวงเงินไม่เกิน 550,000 บาท แต่ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันที่สัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างสืบพยาน โจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงกันได้จึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามยอมแล้ว โดยสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความดังนี้
ข้อ 1. จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยอมร่วมกันชำระเงินจำนวน4,328,795.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน4,257,067.39 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ข้อ 2. จำเลยที่ 2 ยอมชำระเงินจำนวน 965,802.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 550,000 บาท นับแต่วันทำสัญญายอมเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ต่อมาวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2531 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อรวมจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จะต้องชำระให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 และข้อ 2 แล้วจะมีจำนวนเงินถึง 5,294,599.80 บาท ซึ่งเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเพราะความผิดหลง ทำให้เกิดการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อนคือจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องชำระดอกเบี้ยตามต้นเงิน 4,275,067.39 บาท อยู่แล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 1 แต่จำเลยที่ 2 ยังต้องเสียดอกเบี้ยของต้นเงิน550,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นเงินจำนวน 4,275,067.39 บาทเมื่อรวมจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องเสียกับดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 2 จะต้องเสียแก่โจทก์แล้ว ก็จะเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขข้อความในข้อ 1 ของสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นจำเลยที่ 1 และที่ 3ยอมชำระเงินจำนวน 3,362,992.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปี ของต้นเงิน 3,707,067.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ความผิดหลงเป็นของโจทก์และจำเลยเองให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องที่จำเลยที่ 1 ขอให้ศาลแก้ไขเพิ่มเติมข้อความที่ผิดพลาดในหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้วนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 เป็นแต่ให้อำนาจศาลแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยในคำพิพากษาเท่านั้น ไม่ได้ให้อำนาจทำได้ สำหรับกรณีอื่นดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย และหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความดังที่จำเลยที่ 1 ขอให้แก้นี้ก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตัวคำพิพากษาตามยอมจึงไม่มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าข้อที่่ขอแก้ไขเป็นข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 คำพิพากษานั้นกฎหมายห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้ในสิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งกระทำต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอม มิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องพิจารณาสืบพยานกัน ข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงอาจมีผลไม่ตรงหรือเกินกว่าที่่ปรากฎในคำฟ้องก็ได้ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้วมีข้อความผิดพลาดไม่ถูกต้องนั้น เมื่อโจทก์บังคับคดี จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่่จะร้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยถูกต้องโดยอ้างว่าการคิดต้นเงินหรือดอกเบี้ยไม่ถูกต้องตามคำขอท้ายฟ้องอย่างใด ที่ถูกต้องควรเป็นจำนวนเท่าใด แล้วขอให้บังคับคดีไปตามนั้นได้ เพราะคำพิพากษาตามยอมต้องบังคับไปตามสัญญาประนีประนอม-ยอมความที่แท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 จะต้องดำเนินการตามลำดับชั้นศาล ในชั้นนี้ศาลฎีกายังวินิจฉัยบังคับให้ไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่ได้ว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น
พิพากษายืน

Share