คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4785/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นว่า ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2546 อันเป็นวันนัดโอนกรรมสิทธิ์และชำระเงินส่วนที่เหลือ จำเลยทั้งสองอยู่ในสภาพพร้อมที่จะโอนทาวน์เฮาส์และที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และได้ไปที่สำนักงานที่ดินจริง ทาวน์เฮาส์และที่ดินพิพาทจึงยังติดจำนองอยู่กับธนาคาร จำเลยทั้งสองไม่มีความพร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ หากโจทก์สามารถนำเงินส่วนที่เหลืออยู่มาชำระได้ในวันดังกล่าว อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งในสัญญาต่างตอบแทนที่จะมีสิทธิเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ตามสัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 369 เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้แสดงความพร้อมในส่วนของตนย่อมไม่อาจอ้างเอาแต่เพียงวันที่กำหนดในสัญญามาเป็นประโยชน์แก่ตนได้
เมื่อเลยกำหนดวันนัดโอนแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงให้โจทก์ชำระเงินค่างวดแก่ธนาคารแทนต่อมาอีกถึง 3 งวด แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้ยึดถือเอาวันนัดโอนในสัญญาดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ ดังนั้น หลังจากโจทก์ชำระเงินค่างวดแทนจำเลยทั้งสองครั้งสุดท้ายในวันที่ 5 ตุลาคม 2546 หากจำเลยทั้งสองประสงค์จะเลิกสัญญา จำเลยทั้งสองจะต้องกำหนดเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือและไปรับโอนกรรมสิทธิ์ หากโจทก์ไม่ดำเนินการภายในกำหนด จำเลยทั้งสองจึงจะสามารถบอกเลิกสัญญาโดยถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 อันจะเป็นเหตุให้มีสิทธิริบเงินมัดจำของโจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยทั้งสองได้นำทาวน์เฮาส์และที่ดินพิพาทไปขายให้แก่บุคคลอื่นแล้ว จำเลยทั้งสองย่อมมีหน้าที่ต้องคืนเงินมัดจำและเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนจำเลยทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 239,711.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 172,800 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 24,161 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 22,800 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มิถุนายน 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 239,711.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 172,800 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มิถุนายน 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบให้เห็นว่า ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2546 อันเป็นวันนัดโอนและชำระเงินส่วนที่เหลือกัน จำเลยทั้งสองอยู่ในสภาพพร้อมที่จะโอนทาวน์เฮาส์และที่ดินพิพาทแก่โจทก์และได้ไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี และ ณ วันดังกล่าวทาวน์เฮาส์และที่ดินพิพาทซึ่งยังติดจำนองอยู่กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำเลยทั้งสองได้ทำให้มีความพร้อมอย่างไรเพื่อที่จะโอนให้แก่โจทก์ได้หากโจทก์สามารถนำเงินส่วนที่เหลืออยู่มาชำระได้ในวันดังกล่าว อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งในสัญญาต่างตอบแทนที่จะมีสิทธิเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ตามสัญญาได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 ถ้าจำเลยทั้งสองมิได้แสดงความพร้อมในส่วนของตนย่อมไม่อาจอ้างเอาแต่เพียงวันที่กำหนดในสัญญามาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ ซึ่งเมื่อเลยกำหนดวันนัดโอนแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงให้โจทก์ชำระเงินค่างวดแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แทนต่อมาอีกถึง 3 งวด แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้ยึดถือเอาวันนัดโอนในสัญญาดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ ดังนั้นหลังจากโจทก์ชำระเงินค่างวดแทนจำเลยทั้งสองครั้งสุดท้ายแล้วในวันที่ 5 ตุลาคม 2546 หากจำเลยทั้งสองประสงค์จะเลิกสัญญา จำเลยทั้งสองจะต้องกำหนดเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือและไปรับการโอน หากโจทก์ไม่ดำเนินการภายในกำหนด จำเลยทั้งสองจึงจะสามารถบอกเลิกสัญญาโดยถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 อันจะเป็นเหตุให้มีสิทธิริบเงินมัดจำของโจทก์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยทั้งสองได้นำทาวน์เฮาส์และที่ดินพิพาทไปขายให้แก่บุคคลอื่นแล้ว จำเลยทั้งสองย่อมมีหน้าที่ต้องคืนเงินมัดจำและเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนจำเลยทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาท แทนโจทก์

Share