แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยกับจำเลยด้วยความรักใคร่ชอบพอกันแต่ไม่มีพฤติการณ์ให้เห็นว่าจำเลยเจตนานำไปเลี้ยงดูเป็นภริยา จำเลยพาผู้เยาว์เข้าพักนอนในโรงแรมต่างจังหวัด1 คืน และกอดจูบเพื่อสำเร็จความใคร่เป็นการหาความสุขชั่วคราวดังนี้ เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลย 1 ใน 3 ตาม มาตรา 72 เป็นจำคุก 8 เดือน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยพาโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปพัทยาครั้งนี้ด้วยความรักใคร่ชอบพอกันโดยโจทก์ร่วมที่ 1 เต็มใจไปด้วยแต่ไม่มีพฤติการณ์พอจะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนานำโจทก์ร่วมที่ 1ไปเลี้ยงดูเป็นภริยาของตน ทั้งจำเลยได้พาโจทก์ร่วมที่ 1 เข้าพักนอนในโรงแรม 1 คืน และกอดจูบเพื่อสำเร็จความใคร่เป็นการหาความสุขชั่วคราวด้วยการกระทำของจำเลยจึงเข้าลักษณะเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงนี้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ร่วมที่ 1เต็มใจไปด้วยกับจำเลย และตามพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำเข้าลักษณะเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามเพราะเคยต้องคำพิพากษาจำคุก 6 เดือน ฐานมียาเสพติดไว้ในความครอบครองตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2420/2518 ของศาลชั้นต้นนั้น ปรากฏว่าได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปีพ.ศ. 2526 ล้างมลทินให้แก่จำเลยซึ่งต้องคำพิพากษาดังกล่าวและพ้นโทษไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จึงเพิ่มโทษจำเลยมิได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น พิเคราะห์รูปคดีแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษให้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์