แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองเคยติดต่อซื้อบุหรี่จำนวนมากจาก ณ. ซึ่งซื้อมาจากร้านสหกรณ์ในราคาถูกกว่าท้องตลาด ณ. เป็นลูกค้าซื้อบุหรี่เงินเชื่อประเภทขายส่งของร้านสหกรณ์มานาน ในวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองได้มอบเงินให้ ณ. ไปซื้อบุหรี่ด้วยความหวังว่าจะได้บุหรี่ตามจำนวนที่ขอซื้อเช่นเคย แต่ ณ. เป็นหนี้ค่าบุหรี่ร้านสหกรณ์จำนวน 98,282.20 บาท โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานการเงินของสหกรณ์รับเงินจาก ณ. แล้ว แทนที่จะมอบบุหรี่ตามจำนวนเงินที่มาขอซื้อ กลับนำเงินมาหักหนี้ที่ ณ.ค้างชำระอยู่ โดยเชื่อว่าเป็นเงินของ ณ. เอง เมื่อจำเลยทั้งสองไม่สามารถเรียกเงินคืนจาก ณ. ได้ จึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนอันเป็นเท็จว่า จำเลยที่ 1 กับ จ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ได้นำเงินจำนวน56,205 บาท และ 45,000 บาท ตามลำดับ มาขอซื้อบุหรี่จากร้านสหกรณ์ด้วยตนเองไม่เกี่ยวกับ ณ. โจทก์รับเงินแล้วไม่ส่งมอบบุหรี่ตามจำนวนที่ขอซื้อเป็นการฉ้อโกงจำเลยทั้งสองเพื่อบีบบังคับให้โจทก์คืนเงิน เป็นเหตุให้โจทก์ถูกดำเนินคดีและต้องถูกควบคุมตัว ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 90, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มูลคดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองแจ้งความกล่าวหาโจทก์ฉ้อโกงต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 1กับนายจำนงค์ เจริญ ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้นำเงินมาขอซื้อบุหรี่จากร้านสหกรณ์นราธิวาส จำกัด และได้มอบเงินให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานการเงินแล้ว แต่โจทก์กลับนำเงินไปหักหนี้ของนายณรงค์ ลินสายควน ซึ่งเป็นหนี้ร้านสหกรณ์ฯ ค่าซื้อบุหรี่ซึ่งมีอยู่ก่อนเสีย จำเลยทั้งสองไม่ได้รับบุหรี่ตามจำนวนที่ต้องการพนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยให้โจทก์คืนเงินแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่ยินยอม โจทก์ถูกควบคุมตัวดำเนินคดี แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้ ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นางพวงน้อย มุณีบังเกิด ผู้จัดการร้านสหกรณ์ฯ นางสาวรัชตา ภูริฉาย และนางสาวชุลีพร มาสเนตรลูกจ้างร้านสหกรณ์ฯ เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2529 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา นายณรงค์ได้นำเงินที่ค้างชำระค่าบุหรี่มาจ่ายให้โจทก์เป็นเงิน 98,282.20 บาทตามสมุดลูกหนี้บุหรี่ขายส่งเอกสารหมาย จ.1 หน้า 80 สำเนาใบส่งยาสูบเอกสารหมาย จ.2 ฉบับที่ 48 และ จ.3 ฉบับที่ 3 โจทก์ได้ออกใบรับเงินขายสินค้าตามเอกสารหมาย จ.4 ฉบับที่ 29 เห็นว่า ร้านสหกรณ์ฯในส่วนภูมิภาคอยู่ในความควบคุมดูแลของสหกรณ์จังหวัดในฐานะผู้ตรวจการสหกรณ์ตามเอกสารหมาย จ.15 กรณีจึงเชื่อได้ว่า สมุดบัญชีลูกหนี้ ใบส่งยาสูบและใบรับเงินขายสินค้าตามเอกสารหมาย จ.1ถึง จ.4 ได้กระทำขึ้นถูกต้องตามระเบียบของสหกรณ์ ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า เมื่อจำเลยที่ 1 จ่ายเงิน 56,205 บาท เพื่อขอซื้อบุหรี่450 ห่อ และนายจำนงค์ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จ่ายเงิน 45,000 บาทเพื่อขอซื้อบุหรี่จำนวน 360 ห่อ ให้โจทก์แล้วโจทก์บอกว่านางพวงน้อยผู้จัดการไม่จ่ายบุหรี่ให้เพราะนำเงินทั้งสองจำนวนหักหนี้ของนายณรงค์ซึ่งค้างชำระค่าบุหรี่ร้านสหกรณ์ฯ นั้น เห็นว่าในวันที่ 27 ตุลาคม 2529 ถ้าหากนายณรงค์ไม่ได้ไปที่ร้านหสกรณ์ฯหรือนายณรงค์มิได้มอบหมายให้บุคคลใดนำเงินไปชำระหนี้ค่าบุหรี่และจำเลยที่ 1 กับนายจำนงค์ซึ่งอ้างว่าไม่รู้จักนายณรงค์มาก่อนโจทก์จะนำเงินที่บุคคลทั้งสองนำมาซื้อบุหรี่เจาะจงหักหนี้ของนายณรงค์ที่มีค้างร้านสหกรณ์ได้อย่างไร เพราะตามสมุดบัญชีลูกหนี้บุหรี่ขายส่งประจำปี 2529 เอกสารหมาย จ.1 ปรากฏว่ามีลูกค้าถึง 28 ราย จำเลยทั้งสองเคยให้การชั้นสอบสวนในฐานะผู้กล่าวหาโจทก์ฉ้อโกงตามเอกสารหมาย จ.13 และ จ.14 ตรงกันว่า จำเลยทั้งสองรู้จักนายณรงค์ นายณรงค์เป็นสมาชิกร้านสหกรณ์ฯ เคยส่งบุหรี่ไปขายให้จำเลยทั้งสอง ในข้อนี้นางจงกล ทอธราเมธาพยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2529 พยานได้พบจำเลยที่ 1 ที่สถานีตำรวจและได้คุยกัน จำเลยที่ 1 เล่าให้ฟังว่าเดิมนายณรงค์เคยเสนอขายบุหรี่ราคาถูกให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ไม่เชื่อจึงตามไปดูนายณรงค์ซื้อบุหรี่จากร้านสหกรณ์ฯ และว่าเงิน50,000 บาท ที่นำมาซื้อบุหรี่นั้นไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 คนเดียว แต่เป็นเงินของพ่อค้าหลายคนซึ่งอยู่ในตำบลตันหยงมัส และว่านายณรงค์ขายบุหรี่ถูกกว่าร้านสหกรณ์ฯ เห็นว่า นางจงกลรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยสหกรณ์จังหวัดนราธิวาส ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด น่าเชื่อว่านางจงกลเบิกความตรงไปตรงมาตามที่จำเลยที่ 1เล่าให้ฟังจริง แสดงว่า เงินที่นำมาซื้อบุหรี่ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นของตนนั้นต้องมีนายณรงค์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าโจทก์กับนางพวงน้อยยอมรับว่าได้รับเงินค่าซื้อบุหรี่จากจำเลยที่ 1 และนายจำนงค์นั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ แม้จำเลยจะมีร้อยตำรวจตรีอาทิตย์เบิกความสนับสนุนก็ตาม แต่ก็มิได้มีการบันทึกและให้โจทก์กับนางพวงน้อยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานแต่อย่างใด และในวันที่ 30 ธันวาคม 2529ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสองแจ้งความกล่าวหาโจทก์ฉ้อโกง โจทก์ได้ให้การต่อร้อยตำรวจตรีอาทิตย์ เกิดก่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.8 ว่า นายณรงค์ได้นำเงินมาจ่ายสองครั้งเป็นค่าบุหรี่ที่ค้างชำระรวม 98,282.20 บาท และในวันที่ 29 ตุลาคม 2529 ไม่มีผู้ใดมาขอซื้อบุหรี่จากโจทก์เลยส่วนนางพวงน้อยให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.11และ จ.12 ว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เกี่ยวพันกับร้านสหกรณ์ฯ ในชั้นสอบสวนที่ร้อยตำรวจตรีอาทิตย์บันทึกไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.5 และ จ.9 ระบุว่า เมื่อวันที่ 31ตุลาคม 2529 ได้เชิญนายณรงค์มาสอบถามข้อเท็จจริง นายณรงค์รับว่าเป็นหนี้ร้านสหกรณ์ฯ จริง แต่เงินที่จำเลยที่ 1 และนายจำนงค์นำไปขอซื้อบุหรี่ไม่ใช่เงินของนายณรงค์ ขอให้ร้านสหกรณ์ฯ คืนเงินแก่ผู้แจ้ง แต่ร้อยตำรวจตรีอาทิตย์ไม่ได้สอบถามและบันทึกว่าในวันที่ 27 เดือนนั้น นายณรงค์ได้ไปที่ร้านสหกรณ์หรือไม่และไปเพื่ออะไร ชั้นสอบสวนร้อยตำรวจตรีอาทิตย์ไม่ได้ตัวนายณรงค์มาสอบสวนเป็นพยานอย่างมีเงื่อนงำ ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนางพวงน้อยพยานโจทก์ว่าพยานได้รับเงินจำนวน 98,282.20 บาท จากโจทก์แล้วได้นำเข้าบัญชีของร้านสหกรณ์ฯ ต่อมาประมาณ 10 นาที นายณรงค์เข้ามาซื้อบุหรี่ในวงเงิน 100,000 บาท แต่บุหรี่เหลือในร้านฯ คิดเป็นเงินประมาณ 50,000 บาท นายณรงค์ไม่เอาและได้ออกจากร้านสหกรณ์ฯไป แสดงให้เห็นว่า เมื่อโจทก์ได้รับเงินที่นายณรงค์มาขอซื้อบุหรี่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะนายณรงค์เป็นหนี้ค่าบุหรี่มาก่อนเป็นจำนวนสูงถึง 98,282.20 บาท โจทก์จึงได้นำเงินมาหักหนี้เก่าที่ค้างชำระให้เสร็จไปก่อน แต่นายณรงค์พูดความจริงไม่ได้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่ของตนจึงขวนขวายที่จะซื้อบุหรี่เงินเชื่อตามจำนวนที่ได้รับเงินมาจากจำเลยทั้งสองแต่บุหรี่เหลือในร้านสหกรณ์ฯ ไม่เพียงพอ นายณรงค์จึงผิดหวังกลับไปศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองเคยติดต่อซื้อบุหรี่จำนวนมากจากนายณรงค์ซึ่งซื้อมาจากร้านสหกรณ์ฯ ในราคาถูกกว่าท้องตลาดนายณรงค์เป็นลูกค้าซื้อบุหรี่เงินเชื่อประเภทขายส่งของร้านสหกรณ์ฯ แห่งนี้มานาน ในวันเกิดเหตุมูลคดีนี้จำเลยทั้งสองได้มอบเงินให้นายณรงค์ไปซื้อบุหรี่ด้วยความหวังว่าจะได้บุหรี่ตามจำนวนที่ขอซื้อเช่นเคย จำเลยที่ 1 และนายจำนงค์คงรอรับบุหรี่อยู่แต่นายณรงค์เป็นหนี้ค่าบุหรี่ร้านสหกรณ์ฯ ถึงวันที่ 20 ตุลาคม2529 เป็นเงินถึง 98,282.20 บาท โจทก์รับเงินจากนายณรงค์แล้ว แทนที่จะมอบบุหรี่ตามจำนวนเงินที่มาขอซื้อโจทก์กลับนำเงินมาหักหนี้ที่นายณรงค์ค้างชำระอยู่ โดยเชื่อว่าเป็นเงินของนายณรงค์เอง นายณรงค์จึงผิดหวังที่ไม่ได้บุหรี่เพื่อนำมามอบให้จำเลยทั้งสองตามต้องการ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่สามารถเรียกเงินคืนจากนายณรงค์ได้จึงได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมายจ.5 และ จ.7 อันเป็นเท็จ ว่า จำเลยที่ 1 กับนายจำนงค์ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ได้นำเงิน 56,205 บาท และ 45,000 บาท ตามลำดับ มาขอซื้อบุหรี่จากร้านสหกรณ์ฯ ด้วยตนเองไม่เกี่ยวกับนายณรงค์ โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานการเงินของร้านสหกรณ์ฯ รับเงินแล้วไม่ส่งมอบบุหรี่ตามจำนวนที่ขอซื้อเป็นการฉ้อโกงจำเลยทั้งสองเพื่อบีบบังคับให้โจทก์คืนเงินเป็นเหตุให้โจทก์ถูกดำเนินคดีและต้องถูกควบคุมตัวย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น