คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ประกันที่ 1 ฎีกาว่า การบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาประกันต้องกระทำภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ขอให้ศาลฎีกาคืนหลักประกันให้แก่ผู้ประกันที่ 1 นั้น เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับการบังคับตามสัญญาประกัน โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ประกันมีหน้าที่ต้องส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาลไปจนกว่าจะครบกำหนดอายุความทางอาญา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปรับผู้ประกันและออกหมายจับจำเลยที่ 2 โดยระบุให้จับตัวส่งศาลชั้นต้นภายในอายุความ 15 ปี นับจากวันที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับและปรับผู้ประกัน จนถึงวันที่ผู้ประกันที่ 1 ยื่นคำร้องนี้มาจึงยังอยู่ภายในอายุความทางอาญาดังกล่าว ดังนั้น ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้น ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่ผู้ประกันตามคำสั่งของศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ประกันที่ 1 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 119 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ประกันทั้งสองประกันตัวจำเลยที่ 2 ไปในระหว่างพิจารณา โดยทำสัญญาประกันไว้ต่อศาลในวงเงิน 3,500,000 บาท ต่อมาวันที่ 28 มีนาคม 2546 ผู้ประกันทั้งสองผิดสัญญาประกันไม่ส่งตัวจำเลยที่ 2 ตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันทั้งสองตามสัญญาและออกหมายจับจำเลยที่ 2 วันที่ 3 กรกฎาคม 2558 ผู้ประกันที่ 1 ยื่นคำร้องว่า นับจากวันที่ศาลมีคำสั่งปรับผู้ประกันทั้งสองจนถึงวันยื่นคำร้อง หัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรมซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิได้ดำเนินการบังคับคดีตามสัญญาประกันภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่หลักประกันของผู้ประกันทั้งสองแล้ว ขอให้คืนหลักประกันโฉนดที่ดินเลขที่ 15937 ตำบลทับยาว อำเภอลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ให้แก่ผู้ประกันทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลมีคำสั่งปรับผู้ประกันจำเลยที่ 2 เนื่องจากไม่ส่งตัวจำเลยที่ 2 ต่อศาลตามกำหนดนัด เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 จนถึงปัจจุบันผู้ประกันจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้นำตัวจำเลยที่ 2 มาส่งต่อศาล ต้องถือว่าผู้ประกันจำเลยที่ 2 ยังคงผิดสัญญาประกัน ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญาในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่ผู้ประกันจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งศาลได้ แม้จะเกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งปรับผู้ประกันจำเลยที่ 2 เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263-1264/2558 กรณีจึงไม่มีเหตุให้คืนหลักประกันแก่ผู้ประกันจำเลยที่ 2 ให้ยกคำร้อง
ผู้ประกันที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ประกันที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ประกันที่ 1 ฎีกาว่า การบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาประกันต้องกระทำภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ขอให้ศาลฎีกาคืนหลักประกันให้แก่ผู้ประกันที่ 1 นั้น เห็นว่า เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับการบังคับตามสัญญาประกัน โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ประกันมีหน้าที่ต้องส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาลไปจนกว่าจะครบกำหนดอายุความทางอาญา การที่ศาลชั้นต้นคดีนี้มีคำสั่งปรับผู้ประกันและออกหมายจับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 โดยระบุให้จับจำเลยที่ 2 ไปส่งศาลชั้นต้นภายในอายุความ 15 ปี นับจากวันที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 2 และสั่งปรับผู้ประกัน จนถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 ที่ผู้ประกันที่ 1 ยื่นคำร้องนี้มา จึงยังอยู่ภายในอายุความทางอาญาดังกล่าว ดังนั้น ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้น ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่ผู้ประกันตามคำสั่งของศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ประกันที่ 1 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของผู้ประกันที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของผู้ประกันที่ 1

Share