คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2484

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำอันเป็นกรรมเดียวนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษสำหรับความผิดฐานหนึ่ง และศาลพิพากษาไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องขอให้ลงโทษฐานอื่นไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกับนายชุ่มแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานอัยยการ โดยรับรองว่าทรัพย์ที่นายชุ่มกล่าวในคำร้องขอประกันตัวนายอีดผู้ต้องหาเป็นนายชุ่มมีอยู่ตามคำร้องนั้นจริง ซึ่งจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานและสาธารณชนเสียหาย
จำเลยให้การว่าได้รับรองทรัพย์นายชุ่มจริง และตัดฟ้องว่าในเรื่องนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงครั้งหนึ่งแล้ว
ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงว่าในการกระทำของจำเลยอันเดียวกันนั้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงเป็นคดีหนึ่งจริง แต่โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดต่อกฎหมายหลายบท โจทก์ยังมีสิทธิฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามบทที่ยังไม่ได้ฟ้องอีก
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายหลายบทตามมาตรา ๗๐ ให้ลงโทษได้ครั้งเดียว ฉะเพาะบทที่หนัก และประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๖๐ ไม่ประสงค์ให้แยกฟ้องเช่นนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงแล้ว คดีก็เป็นอันระงับไปตามมาตรา ๓๙ (๔) จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าในกรรมอันเดียวกัน จำเลยคนเดียวกัน และเป็นความผิดกะทงเดียวนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในกรรมอันนั้น และศาลพิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยไม่มีผิด คดีถึงที่สุดแล้ว เช่นนี้ได้ชื่อว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙ (๔) สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป โจทก์จะนำคดีมาฟ้องอีกโดยเปลี่ยนรูปเปลี่ยนฐานหาชอบไม่ จึงพิพากษายืน.

Share