แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้าย ที่บัญญัติให้การกระทำที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษนั้นจะต้องเป็นการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปี แต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายเด็กหญิงนั้นสมรสกัน การที่จำเลยที่ 1 กระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม จึงไม่รับยกเว้นโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกโดยปราศจากเหตุอันสมควร ร่วมกันพรากเด็กหญิงกรกมล สุวรรณกิจ ผู้เสียหายที่ 2 อายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากนางจินตนา สุวรรณกิจ ผู้เสียหายที่ 1 มารดา โดยไม่มีเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายฉุดดึงพาผู้เสียหายที่ 2 เข้าไปในห้องบนชั้นสองของบ้านเลขที่ 61 หมู่ที่ 4 ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วล็อคประตูห้องอันเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายที่ 2 ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้มีดทำครัวปลายแหลมใบมีดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว เป็นอาวุธจี้ผู้เสียหายบังคับมิให้ขัดขืน อันเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายที่ 2 ให้จำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต และร่างกาย แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 83, 277, 309, 310, 317 ริบอาวุธมีดของกลาง และกำหนดโทษของจำเลยที่ 1 ที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนแล้วบวกเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 309 วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 310 วรรคสาม, 317 วรรสาม, 33, 58 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองอายุไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์จำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน ฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี ฐานข่มขืนใจผู้อื่น และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ประกอบมาตรา 53 จำคุกคนละ 25 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ จำคุกคนละ 1 ปี 3 เดือน ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี จำคุกคนละ 12 ปี 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 13 ปี 9 เดือน กำหนดโทษที่จำเลยที่ 1 ที่รอการกำหนดไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 842/2543 ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ให้จำคุก 3 เดือน เมื่อบวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีนี้แล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 มี 12 เดือน ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปจากมารดาเพื่อการอนาจาร และร่วมกระทำความผิดกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำสารภาพของจำเลยที่ 1 ในศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาและยื่นคำแถลงการณ์ประกอบฎีกาว่าจำเลยที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ได้อยู่กินฉันสามีภริยา และอยู่ในระหว่างยื่นคำร้องขอให้ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้สมรส ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้าย บัญญัติให้การกระทำที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษนั้น จะต้องเป็นกระทำชำเราเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปี แต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและเด็กหญิงนั้นสมรสกัน แต่ในคดีนี้จำเลยที่ 1 กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 มีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รับยกเว้นโทษ”
พิพากษายืน