คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5517/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าปรับรายวันตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างคือเบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะใช้ให้แก่โจทก์เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 381 วรรคแรก นั่นเอง ส่วนค่าตัดลดเปลี่ยนแปลงรายการอันเป็นค่าเสียหายตามสัญญา จึงเป็นค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคสอง ที่ให้บังคับตามบัญญัติแห่งมาตรา 380 วรรคสอง โจทก์จะเรียกค่าเสียหายตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ต่อเมื่อโจทก์สามารถพิสูจน์ได้ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายสูงกว่าเบี้ยปรับที่กล่าวแล้ว โดยหากมีโจทก์ก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวนที่สูงกว่าเบี้ยปรับนั้นอีกได้ สำหรับคดีนี้โจทก์เรียกค่าเสียหายซึ่งไม่สูงไปกว่าเบี้ยปรับที่โจทก์ได้รับดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 836,280 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3ร่วมรับผิดด้วยในวงเงิน 56,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนเพชรละครพิทยาในราคา 1,120,000 บาทแต่จำเลยที่ 1 ไม่เคยผิดสัญญาจ้าง ความเสียหายต่าง ๆ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าถูกตัดไปในการว่าจ้างผู้รับจ้างคนใหม่เป็นเงิน 262,080บาท นั้น เกิดจากการที่โจทก์กับผู้รับจ้างคนใหม่ตัดออกจากรายการก่อสร้างไปเอง หาใช่ความผิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นมาไม่ สำหรับค่าปรับจำนวน 574,200 บาท นั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำผิดสัญญากับโจทก์ แต่เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประพฤติผิดสัญญาจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดและโจทก์มิได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน574,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(5 สิงหาคม 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดด้วยในวงเงิน 56,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (5 สิงหาคม 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 262,080 บาท ให้แก่โจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าค่าปรับรายวัน วันละ 1,800 บาท ตามสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 5 ก. ก็คือเบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะใช้ให้แก่โจทก์เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก นั่นเอง ซึ่งเบี้ยปรับตามข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ใช้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 574,200 บาท โดยให้จำเลยที่ 3ร่วมรับผิดด้วย จำนวน 56,000 บาท ส่วนค่าตัดลดเปลี่ยนรายการจำนวน 262,080 บาท นั้น เป็นค่าเสียหายตามสัญญาข้อ 5 ข. อันเป็นค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคสองที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 380 วรรคสอง ซึ่งโจทก์จะเรียกค่าเสียหายตามบทบัญญัติที่กล่าวนี้ได้ก็ต่อเมื่อโจทก์สามารถพิสูจน์ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายสูงกว่าเบี้ยปรับที่กล่าวแล้วโดยถ้าหากมีโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวนที่สูงกว่าเบี้ยปรับนั้นอีกได้ สำหรับคดีนี้โจทก์เรียกค่าเสียหายจำนวน 262,080 บาทซึ่งไม่สูงไปกว่าเบี้ยปรับที่โจทก์ได้รับ ดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์อีก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share