คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้อ้างส่งต้นฉบับของเอกสารทั้งหมดต่อศาลชั้นต้นประกอบคำเบิกความของ ช. ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้อง แต่ศาลชั้นต้นได้คืนต้นฉบับเอกสารให้ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงอ้างส่งสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับ โจทก์ไม่ได้คัดค้านการที่ศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องอ้างส่งสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับในขณะที่ผู้ร้องได้รับคืนต้นฉบับเอกสารนั้นว่าไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 วรรคหนึ่ง ถือได้ว่าโจทก์ยินยอมให้ผู้ร้องส่งสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับทุกฉบับ จึงเป็นการตกลงกันว่าสำเนาเอกสาร ตามที่โจทก์ฎีกานั้นถูกต้องแล้ว ศาลจึงยอมรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตามมาตรา 93 (1) การที่ต่อมาโจทก์คัดค้านสำเนาเอกสารดังกล่าวเมื่อสืบพยานปาก ช. เสร็จแล้ว จึงไม่ทำให้การรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวโดยชอบแล้วเสียไป
โจทก์ฎีกาว่าผู้ร้องมิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ไม่ชอบด้วยกฎมหาย แต่มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ผู้ร้องเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินอันเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้อง ผู้ร้องจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานที่เป็นคุณว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายอันเป็นคุณต่อผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ค่าจ้างว่าความเป็นเงิน 1,814,625 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 31913 ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายโดยปลอดจำนองและนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องก่อนโจทก์หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษารายอื่นๆ ในต้นเงินข้างต้น พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 1,568,315.72 บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่านางปิยะดาหรือจำเลยร่วมกันชำระหนี้กู้เงินดังกล่าวแก่ผู้ร้องจนเสร็จ หากโจทก์ถอนการยึดทรัพย์หรือสละสิทธิในการบังคับคดี ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องสวมสิทธิในการบังคับคดีต่อไป
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่นเป็นเงิน 1,893,910.41 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,568,315.72 บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้อง (16 กรกฎาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ศาลฎีกาเห็นควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยก่อนปัญหาอื่น โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่าศาลล่างทั้งสองรับฟังเอกสารมาชอบ เพราะผู้ร้องไม่ได้ส่งต้นฉบับเอกสารนั้น เห็นว่า ผู้ร้องได้อ้างส่งต้นฉบับของเอกสารทั้งหมดต่อศาลชั้นต้นประกอบคำเบิกความของนายชัยยันต์ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้อง แต่ศาลชั้นต้นได้คืนต้นฉบับเอกสารให้ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงอ้างส่งสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับ โจทก์ไม่ได้คัดค้านการที่ศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องอ้างส่งสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับในขณะที่ผู้ร้องได้รับคืนต้นฉบับเอกสารนั้นว่าไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 วรรคหนึ่ง ถือได้ว่าโจทก์ยินยอมให้ผู้ร้องส่งสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับทุกฉบับ จึงเป็นการตกลงกันว่าสำเนาเอกสารตามที่โจทก์ฎีกานั้นถูกต้องแล้ว ศาลจึงยอมรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตามมาตรา 93 (1) การที่ต่อมาโจทก์คัดค้านสำเนาเอกสารดังกล่าวเมื่อสืบพยานปากนายชัยยันต์เสร็จแล้ว จึงไม่ทำให้การรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวโดยชอบแล้วเสียไป ส่วนที่โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายประการสุดท้ายว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 31913 นั้น ผู้ร้องไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ปัญหานี้ผู้ร้องได้ระบุโฉนดที่ดินดังกล่าวตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ลงวันที่ 21 มกราคม 2543 แล้ว โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต่อไปว่า ผู้ร้องรับจำนองที่ดินพิพาทโดยร่วมกับนางปิยะดาและจำเลยฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย มิใช่ของนางปิยะดา นางปิยะดาเป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยเท่านั้น เห็นว่า นางปิยะดาผู้กู้เงินผู้ร้องเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 31913 ซึ่งต้นฉบับศาลชั้นต้นคืนให้แก่ผู้ร้องเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น ซึ่งกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้อง ผู้ร้องจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานที่เป็นคุณว่านางปิยะดาเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายอันเป็นคุณต่อผู้ร้องแม้โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยถอนเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินมรดกส่วนของจำเลยทั้งหมด ซึ่งเป็นสินเดิมของจำเลยไม่ใช่สินสมรสเพราะจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับนางปิยะดา ภายหลังจากจำเลยได้รับเงินดังกล่าวแล้วมาซื้อที่ดินที่ผู้ร้องรับจำนองโฉนดที่ดินเลขที่ 31913 และโจทก์มีนายบุญญาทนายความของโจทก์เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ในขณะที่นางปิยะดาซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 31913 เป็นเวลาเดียวกับที่จำเลยถอนเงินทั้งหมดออกจากบัญชีกระแสรายวันธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ของจำเลยก็ตาม แต่นายชัยยันต์ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องกับนางสาวสุจิตราพนักงานการตลาดฝ่ายพิจารณาสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารวมทั้งประเมินหลักประกันของผู้ร้อง ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าก่อนทำสัญญากับนางปิยะดา พนักงานของผู้ร้องได้ดำเนินการสำรวจหลักประกันโฉนดที่ดินเลขที่ 31913 แล้วว่ามีชื่อนางปิยะดาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และนางสาวสุจิตราก็ได้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นางปิยะดาและจำเลยแจ้งว่าพวกตนประกอบกิจการค้าขายเครื่องประดับ โดยประกอบธุรกิจเป็นการค้าส่วนตัวไม่มีร้านค้าทั้งในวันทำสัญญา นางปิยะดากับจำเลยก็ได้นำการ์ดบัญชีที่เปิดไว้ที่ธนาคารอื่นมาแสดง นางสาวสุจิตราตรวจดูแล้วเห็นว่า ในการ์ดบัญชีนั้นมียอดเงินสูงขึ้นเลขหกหลัก ดังนั้น ผู้ร้องจึงเชื่อว่านางปิยะดาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 31913 จริง ซึ่งโจทก์ก็รับข้อเท็จจริงนี้ โดยโจทก์ตอบทนายผู้ร้องถามค้านรับว่า โจทก์ไม่ยืนยันว่าผู้ร้องจะรู้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 31913 นั้นเป็นของนางปิยะดาจริงหรือไม่ ดังนั้น แม้ว่าในขณะที่นางปิยะดาซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 31913 เป็นเวลาเดียวกันกับที่จำเลยถอนเงินออกจากบัญชี ดังที่โจทก์นำสืบก็ตาม ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ทราบถึงข้อเท็จจริงนี้ ดังนั้น ผู้ร้องจึงทำสัญญาจำนองกับนางปิยะดาโดยสุจริต ไม่ได้ร่วมกับนางปิยะดาและจำเลยฉ้อฉลโจทก์ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองย่อมมีบุริมสิทธิตามกฎหมายที่จะขอรับชำระหนี้จากราคาทรัพย์จำนองที่ขายได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 และ 702 วรรคสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share