แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวโดยมีสาเหตุมาจากจำเลยด่าว่าผู้เสียหายและถามว่าไปเอาตู้กับข้าวของใครมาผู้เสียหายบอกให้จำเลยดูให้ดีเสียก่อนสาเหตุเพียงเท่านี้มิใช่สาเหตุร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกัน ทั้งได้ความว่าม. ได้เข้าห้ามจำเลยก็เชื่อฟัง นอกจากนี้มีดที่จำเลยใช้เป็นอาวุธก็เป็นมีดทำครัวทั้งใบมีดและด้ามมีความยาวเพียงประมาณ 1 ฟุต ถือไม่ได้ว่าเป็นมีดขนาดใหญ่ บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็มีขนาดเพียง 1 คูณ 5 เซนติเมตร ไม่ปรากฏว่ากระดูกแขนบริเวณที่ถูกฟันแตกหรือหักแต่อย่างใด ฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟันโดยแรง ส่วนที่จำเลยพูดว่ามึงตายเสียเถอะอย่าอยู่เลย นั้น ก็น่าจะเกิดจากความโมโหที่ทะเลาะกันและน่าจะเป็นเพียงการข่มขู่มากกว่าที่จะประสงค์ทำตามนั้นจริงพฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 80, 33 และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 90 บาท รวมจำคุก 10 ปีและปรับ 90 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ทั้งนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก6 ปี 8 เดือนและปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้มีดของกลางฟันผู้เสียหายถูกที่แขนซ้ายจนเอ็นขาด เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความว่าในวันเกิดเหตุผู้เสียหายนำรถสามล้อบรรทุกตู้กับข้าวมาจากบ้านยายของผู้เสียหายเมื่อกลับมาถึงหน้าบ้านของผู้เสียหายพบจำเลย จำเลยด่าผู้เสียหายว่า มึงอีดอกทองเอาตู้ใครมา ผู้เสียหายบอกให้จำเลยดูให้ดีเสียก่อน ขณะนั้นจำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 3 เมตรจำเลยไม่โต้ตอบแต่ชักมีดทำกับข้าวยาวประมาณ 1 ฟุต ซึ่งเหน็บอยู่ข้างหลังออกมาแล้ววิ่งเข้ามาหาผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่ามึงตายเสียเถอะ อย่าอยู่เลย ผู้เสียหายจึงวิ่งหนีพร้อมกับร้องให้คนช่วย ผู้เสียหายวิ่งไปติดที่มุมบ้านของคนอื่น จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายโดยกะฟันที่บริเวณศีรษะ หรือใบหน้า แต่ผู้เสียหายหลบจึงฟันไม่ถูก จำเลยฟันอีกครั้งหนึ่ง ผู้เสียหายใช้แขนซ้ายรับ คมมีดถูกที่แขนผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายวิ่งหนีขึ้นไปบนถนนและร้องให้คนช่วย มีคนมาห้ามแล้วพาผู้เสียหายไปโรงพยาบาล นางมะรินดา ปทุมมาเกษร พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความตอบคำซักถามของโจทก์ว่า วันเกิดเหตุพยานอยู่หน้าบ้านของพยานได้ยินเสียงคนทะเลาะกันที่หน้าบ้านผู้เสียหาย แล้วเห็นจำเลยวิ่งไล่ตามผู้เสียหาย จำเลยใช้มีดยาวประมาณ 1 ฟุต ฟันที่บริเวณศีรษะ ของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายใช้แขนรับหลังจากนั้นผู้เสียหายวิ่งขึ้นไปบนถนน จำเลยวิ่งไล่ตาม พยานเข้าห้ามและบอกให้ผู้เสียหายไปโรงพยาบาล แล้วเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เห็นจำเลยฟันผู้เสียหายครั้งเดียวฟันแล้วไม่ได้ฟันซ้ำอีก ถูกฟันแล้วผู้เสียหายเดินขึ้นไปบนถนนส่วนจำเลยยังอยู่ที่เดิม จำเลยมีอาการตกใจหน้าซีด และเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่าหลังจากพยานเข้าห้ามจำเลยก็เชื่อฟังจำเลยเดินออกไปทางหนึ่ง ผู้เสียหายเดินไปอีกทางหนึ่งจำเลยเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยจะไปถามหาเตารีดที่สามีเอาไปที่บ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายเข้าใจว่าจำเลยจะไปตามสามีจึงทะเลาะกัน จำเลยฟันผู้เสียหาย 1 ครั้ง ถูกที่แขนซ้ายนางติ๋มเข้าห้ามจำเลยจึงหยุด เห็นว่า นางมะรินดาพยานโจทก์ซึ่งเป็นคนกลางเบิกความเจือสมคำเบิกความของจำเลยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวสำหรับสาเหตุที่จำเลยฟันก็ได้ความตามคำเบิกความของผู้เสียหายเพียงว่า จำเลยด่าว่าผู้เสียหายและถามผู้เสียหายว่าไปเอาตู้กับข้าวของใครมาผู้เสียหายบอกให้จำเลยดูให้ดีเสียก่อนสาเหตุเพียงเท่านี้มิใช่สาเหตุร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกันทั้งได้ความจากคำเบิกความของนางมะรินดาว่า เมื่อพยานเข้าห้ามจำเลยก็เชื่อฟัง นอกจากนี้มีดที่จำเลยใช้เป็นอาวุธก็เป็นมีดทำครัวทั้งใบมีดและด้ามมีความยาวเพียงประมาณ 1 ฟุตถือไม่ได้ว่าเป็นมีดขนาดใหญ่ดังที่โจทก์ฎีกา บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับมีขนาดเพียง 1 คูณ 5 เซ็นติเมตร ไม่ปรากฏว่ากระดูกแขนบริเวณที่ถูกฟันแตกหรือหักแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟันโดยแรงดังที่โจทก์ฎีกา ส่วนที่จำเลยพูดว่า มึงตายเสียเถอะอย่าอยู่เลย นั้น ก็น่าจะเกิดจากความโมโหที่ทะเลาะกันและน่าจะเป็นเพียงการข่มขู่มากกว่าที่จะประสงค์จะทำตามนั้นจริงพฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายคงฟันได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน