คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 3จำคุก 6 เดือนและจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยรวม 38 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานนี้ รวม 34 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน ส่วนความผิดที่เหลือ 4 กระทงวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปแล้ว เช่นนี้ เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานนี้ มีกำหนด 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218 สำหรับความผิด ฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียง 4 กระทง ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดที่เหลือ 34 กระทง ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนและ ลงโทษจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมจดหมายของนายกำธร รวม 7 ฉบับโดยเขียนข้อความเป็นเท็จในนามของนายกำธรถึงนางพงษ์สุรีย์ และลงลายมือชื่อปลอมของนายกำธร ลงในจดหมายดังกล่าวทุกฉบับแล้วจำเลยทั้งสามร่วมกันนำจดหมายปลอมทั้งเจ็ดฉบับไปแสดงต่อนางพงษ์สุรีย์ เพื่อให้หลงเชื่อว่าข้อความในจดหมายและจดหมายดังกล่าวเป็นของนายกำธรที่แท้จริง และจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยเจตนาทุจริตร่วมกันหลอกลวงนางพงษ์สุรีย์ รวม 38 ครั้งโดยกล่าวข้อความอันเป็นเท็จว่านายกำธรใช้ให้จำเลยทั้งสองมาขอยืมเงินโดยที่นายกำธรไม่เคยใช้ให้จำเลยทั้งสองไปขอยืมเงิน เป็นเหตุให้นางพงษ์สุรีย์หลงเชื่อมอบเงินให้จำเลยทั้งสองรับไปรวม 38 ครั้ง เป็นเงิน 446,500 บาท แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันนำเงินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268, 341, 91, 83 และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 446,500 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 ประกอบมาตรา 83, 91 ลงโทษตามมาตรา 268 แต่กระทงเดียว จำเลยที่ 3 อายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 กำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 กำหนด 6 เดือนจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83, 91 รวม 38 กรรม ต่างกรรมต่างวาระกัน ลงโทษจำคุกกรรมละ 6 เดือนแต่รวม 38 กรรมเกินกว่า 10 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(1) รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 11 ปีจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 เดือน รอการลงโทษจำเลยที่ 3 ไว้มีกำหนด 2 ปีให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 446,500 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83, 91 รวม 34 กระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน แต่รวม 34 กระทง เกินกว่า 10 ปี ลงโทษจำคุกไว้เพียง 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(1) รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 11 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในความผิดฐานฉ้อโกง โดยแก้จากที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2ในความผิดฐานนี้ 38 กระทง เป็น 34 กระทง แต่คงให้ลงโทษจำคุกกระทงละ6 เดือน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น จึงเท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานนี้มีกำหนด 1 ปี ฉะนั้น ในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียง 4 กระทงโดยเห็นว่าเป็นความผิดฐานกรรมเดียวกับความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปแล้วซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดที่เหลือ 34 กระทง ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนและลงโทษจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218เช่นกัน ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า ข้อนำสืบของโจทก์ขัดต่อหลักแห่งความเป็นจริงขาดเหตุผล รับฟังไม่ได้ก็ดี พฤติการณ์ของจำเลยที่โจทก์นำสืบมาส่อให้เห็นเป็นพิรุธ กรณีตกอยู่ในข่ายแห่งความสงสัย ลงโทษจำเลยไม่ได้ก็ดี จึงเท่ากับเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างเป็นฎีกาไม่มี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2

พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 เสีย

Share