แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยพรากเด็กไปเพื่อให้ขอทานเงินและเก็บหาทรัพย์สิน มาให้จำเลย เป็นการกระทำไปเพื่อหาประโยชน์ในทางทรัพย์สิน อันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการกระทำเพื่อหากำไร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควร ได้พรากเด็กหญิงสุลาวัลย์ ถวิลพงษ์ อายุ ๖ ปี และเด็กชายนาวี แดงสำอางค์ อายุ ๓ ปี ไปเสียจากนางสมควรถวิลพงษ์ มารดา เพื่อให้ผู้เยาว์ทั้งสองเก็บหาทรัพย์สินและขอทานเงินจากประชาชนให้แก่จำเลย อันเป็นการกระทำเพื่อหากำไร จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เยาว์ทั้งสองให้ปราศจากเสรีภาพ แล้วจำเลยได้ทอดทิ้งเด็กชายนาวีไว้ที่สถานีรถไฟกรุงเทพเพื่อให้พ้นไปจากตนโดยประการที่ทำให้ผู้เยาว์ปราศจากผู้ดูแล และจำเลยได้ข่มขืนใจเด็กหญิงสุลาวัลย์ให้เก็บเศษกระดาษ ถุงพลาสติก ขอทานเงินและอาหารจากประชาชนโดยการข่มขู่บังคับและใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการทุบตีทำร้ายร่างกายให้เด็กหญิงสุลาวัลย์ต้องจำยอมและกระทำการตามที่จำเลยบังคับจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงพระนครใต้ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๑๑๗๑/๒๕๒๘ ฐานเสพกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษจำคุก ๑๕ วันปรับ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด ๑ ปี จำเลยมากระทำผิดคดีนี้ในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๘, ๙๑, ๓๐๖, ๓๐๙, ๓๑๐, ๓๑๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๙ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ นำโทษจำคุกที่ศาลรอการลงโทษไว้ดังกล่าวมาบวกกับโทษในคดีนี้ด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๑๑๗๑/๒๕๒๘ ของศาลแขวงพระนครใต้จริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าการที่จำเลยบังคับให้เด็กทั้งสองออกขอทานนำเงินมาให้มิใช่เป็นการกระทำเพื่อหากำไร จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๖, ๓๐๙, ๓๑๐ และมาตรา ๓๑๗ วรรคแรกรวม ๔ กระทง เรียงกระทงลงโทษ ในความผิดตามมาตรา ๓๐๖, ๓๐๙, ๓๑๐ จำคุกกระทงละ ๑ ปี และตามมาตรา ๓๑๗ วรรคแรก จำคุก ๔ ปี รวม ๗ ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุก ๓ ปี ๖ เดือน นำโทษที่ศาลรอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษคดีนี้เป็นจำคุก ๓ ปี ๖ เดือน ๑๕ วัน
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษจำเลยเฉพาะกระทงความผิดฐานพรากเด็กตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ วรรคแรก เป็นมาตรา ๓๑๗ วรรคท้าย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นฎีกามีปัญหาที่จะวินิจฉัยเพียงว่า การที่จำเลยพรากเด็กไปเพื่อให้ไปขอทานเงินและเก็บหาทรัพย์สิน มาให้จำเลยเป็นการกระทำเพื่อหากำไรดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำไปเพื่อหาประโยชน์ในทางทรัพย์สินอันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการกระทำเพื่อหากำไรดังโจทก์ฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น และที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙, ๓๑๐ โดยมิได้ระบุวรรคใดนั้น ยังไม่ชัดเจน เห็นสมควรระบุเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๖, ๓๐๙ วรรคแรก, ๓๑๐ วรรคแรก, ๓๑๗ วรรคท้าย เฉพาะฐานพรากเด็กลงโทษจำคุก ๕ ปี รวมกับโทษในกระทงอื่นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาเป็นจำคุก ๘ ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ เป็นจำคุก ๔ ปี บวกโทษจำคุก ๑๕ วันที่รอการลงโทษไว้เข้ากับคดีนี้รวมเป็นโทษจำคุก ๔ ปี ๑๕ วัน