แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงไปควบคุมรายรับของโจทก์เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดรายรับให้ถูกต้อง ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ทวิ (7) และการกำหนดรายรับของผู้ประกอบการค้าด้วยวิธีดังกล่าว กฎหมายมิได้จำกัดว่าให้ทำได้เฉพาะรายรับของปีปัจจุบันเท่านั้น หากเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าปีใดผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป เจ้าพนักงานประเมินก็ย่อมมีอำนาจกำหนดรายรับของผู้ประกอบการค้าสำหรับในปีนั้นได้เพื่อจะนำมาประเมินภาษีตามมาตรา 87 และการประเมินดังกล่าวมาตรา 88 ทวิ (1) บัญญัติให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้า หรือวันที่ยื่นแบบแสดงรายการการค้าแล้วแต่วันใดจะเป็นวันหลัง ถ้ามีการยื่นแบบแสดงรายการการค้า ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดรายรับของโจทก์ด้วยวิธีควบคุมรายรับดังกล่าวแล้วประเมินภาษีย้อนหลังไปภายใน 5 ปี (นับแต่ปีที่ควบคุมรายรับ) จึงชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินแจ้งว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าสำหรับปี ๒๕๑๐ ถึง ๒๕๑๕ ไม่ถูกต้อง ทำให้ภาษีการค้าที่ต้องชำระต่ำไป จึงเรียกเก็บภาษีเพิ่ม โจทก์เห็นว่าการประเมินเรียกภาษีเพิ่มไม่ถูกต้อง เพราะมิได้ทำการประเมินบนมูลฐานแห่งรายรับและรายจ่ายที่เป็นจริง ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มดังกล่าว
จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานได้ประเมินเรียกเก็บจากมูลฐานแห่งรายรับของโจทก์ที่ถูกต้องตรงต่อความจริงและเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาในข้อแรกว่า เฉพาะกรณีที่ตรวจสอบจากบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นแล้วพบว่า ผู้ประกอบการค้าได้ยื่นเสียภาษีการค้าไว้ไม่ถูกต้อง จำเลยจึงจะประเมินย้อนหลังไปได้ ๕ ปี แต่กรณีของโจทก์นี้เป็นกรณีที่จำเลยไม่สามารถจะตรวจสอบพบจากบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นของโจทก์ได้แล้ว จำเลยจึงได้ใช้วิธีไปควบคุมรายรับในปัจจุบันมาประเมินย้อนหลัง ๕ ปี โจทก์จึงเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่มีบทกฎหมายในหมวดว่าด้วยภาษีการค้ากำหนดให้ทำเช่นนั้นได้ ศาลฎีกาเห็นว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยไปควบคุมรายรับของโจทก์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น ก็เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดรายรับของโจทก์ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ เจ้าพนักงานประเมินได้กระทำไปโดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๗ ทวิ (๗) ซึ่งบัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจกำหนดรายรับของผู้ประกอบการค้าได้ โดยให้พิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่หรือพฤติการณ์ของผู้ประกอบการค้าหรือสถิติการค้าของผู้ประกอบการค้าเองหรือของผู้ประกอบการค้าอื่นที่กระทำกิจการทำนองเดียวกันหรือพิจารณาจากหลักเกณฑ์อย่างอื่นอันแสดงรายรับได้โดยสมควร การกำหนดรายรับของผู้ประกอบการค้าดังกล่าว กฎหมายมิได้จำกัดว่าให้กำหนดรายรับได้เฉพาะรายรับของปีปัจจุบันเท่านั้น ฉะนั้น หากปีใดเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า ผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป เจ้าพนักงานประเมินก็ย่อมมีอำนาจกำหนดรายรับของผู้ประกอบการค้าสำหรับในปีนั้นได้เพื่อนำมาประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๗ และในการประเมินดังกล่าวประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๘ ทวิ (๑) บัญญัติให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลา ๕ ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าหรือวันที่ยื่นแบบแสดงรายการการค้าแล้วแต่วันใดจะเป็นวันหลัง ถ้ามีการยื่นแบบแสดงรายการการค้า ประมวลรัษฎากรในหมวดว่าด้วยภาษีการค้าได้กำหนดให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินไว้เช่นนี้ หาใช่ไม่มีบทกฎหมายใดในหมวดว่าด้วยภาษีการค้ากำหนดไว้ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ แล้วศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าการคำนวณของจำเลยไม่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ และศาลล่างฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน รับฟังไม่ได้
พิพากษายืน