แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าวัดโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งใช้เป็นป่าช้าสำหรับเผาและฝังศพราษฎร เท่ากับโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของวัดการที่ศาลไปฟังว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งเป็นของวัด แม้จะตั้งอยู่ห่างจากตัววัด ก็จัดเข้าอยู่ในประเภทที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วัดนาท่อมมีที่ดิน 1 แปลงใช้เป็นป่าช้าฝังและเผาศพของราษฎร จำเลยได้เข้าแผ้วถางทำเป็นนาและไม่ยอมออก ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นที่ป่าช้าสาธารณะของวัดนาท่อมและให้ขับไล่จำเลยออกไป
จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาท จำเลยได้รับมรดกจากบิดา และได้ครอบครองมาประมาณ 19 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นป่าช้าของโจทก์ครอบครองให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้านากวดอันเป็นที่สาธารณะ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้านากวด แต่ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดเจนว่า วัดนาท่อมโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งใช้เป็นป่าช้าสำหรับเผาและฝังศพราษฎรชื่อว่าป่าช้านากวดก็เมื่อโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของวัด ศาลกลับไปฟังว่า เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นวัดเป็นนิติบุคคลก็ย่อมเป็นเจ้าของที่ดินได้ และเห็นว่าป่าช้าที่พิพาทจัดเข้าอยู่ในประเภทที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33 อนุมาตรา 2 ซึ่งแม้จำเลยจะได้ครอบครองมาช้านานเพียงใด จำเลยก็หามีสิทธิในที่พิพาทไม่ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34
พิพากษายืน