คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รับประกันวินาศภัยเยื่อกระดาษไว้จากบริษัท ต. ในการขนส่งเยื่อกระดาษจากสหรัฐจนถึงคลังสินค้าในประเทศไทยเรือเดินสมุทรได้บรรทุกเยื่อกระดาษมาถึงประเทศไทยแล้วบริษัท ต. ได้ว่าจ้างจำเลยเอาเรือฉลอมบรรทุกเยื่อกระดาษจากเรือเดินสมุทรไปส่งที่ท่าเรือโรงงานกระดาษโดยบริษัท ต. มีหน้าที่ขนเยื่อกระดาษขึ้นจากเรือฉลอมเอง ดังนี้จำเลยจึงมีหน้าที่เพียงขนเยื่อกระดาษจากเรือเดินสมุทรมาเทียบท่าเรือโรงงานกระดาษเท่านั้น เมื่อได้ความว่าเรือฉลอมบรรทุกเยื่อกระดาษมาเทียบท่าเรือโรงงานกระดาษตั้งแต่เวลา 11.00 น.เศษ แต่คนงานมิได้มาขนเยื่อกระดาษขึ้นจากเรือฝ่ายจำเลยได้ไปเตือนและเร่งรัดแล้วพวกคนงานก็ยังไม่มาจนกระทั่งค่ำระหว่างนี้น้ำลงเรื่อยๆ ทำให้เรือเกยตื้นในลักษณะหัวเรือสูงท้ายเรือต่ำเพราะพื้นแม่น้ำตรงนั้นไม่เรียบครั้นเวลาราวเที่ยงคืนมีคนงานมาขนเยื่อกระดาษส่วน.หนึ่งที่อยู่ตอนหัวเรือต่อมาน้ำเริ่มขึ้นแต่เนื่องจากน้ำหนักถ่วงอยู่ทางท้ายเรือเรือจึงไม่ลอย น้ำเข้าเรือทำให้เรือจมลงเยื่อกระดาษที่บรรทุกเสียหายพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าถ้าคนงานมาขนเยื่อกระดาษขึ้นเสียตั้งแต่โอกาสแรกก็จะขนเยื่อกระดาษขึ้นได้หมดเพราะใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้นเรือก็จะไม่จม จึงถือได้ว่าการสูญหายหรือบุบสลายเกิดเพราะความผิดของบริษัท ต.ผู้ส่งจำเลยผู้ขนส่งจึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 แม้โจทก์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ต. ไปก็จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายธีระกับจำเลยที่ 2 เป็นสามีภรรยากันและเป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการรับจ้างขนส่งทางเรือใช้ชื่อว่า “ธีระขนส่ง” นายธีระถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกและดำเนินกิจการต่อมา เมื่อเดือนกันยายน 2515บริษัทเต็กเฮง จำกัด ว่าจ้างจำเลยขนส่งสินค้าเยื่อกระดาษ 4694 มัด น้ำหนัก999,930 เมตริกตัน จากเรือเดินสมุทร “คิงสวิลล์” ซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ ไปส่งขึ้นที่ท่าเรือบริษัทโรงงานกระดาษกรุงเทพจำกัด จังหวัดสมุทรปราการ จำเลยใช้เรือฉลอมประมาณ 5 ลำ บรรทุกตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2515 ในวันนั้นนายสุทัศน์ลูกจ้างของจำเลย ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลเรือฉลอมลำหมายเลขทะเบียนที่ 083367 นำเรือเข้าจอดเทียบท่าเพื่อขนถ่ายเยื่อกระดาษขึ้นคลังสินค้า มิได้ตรวจดูความตื้นลึกของบริเวณที่จอดเรือและการขึ้นลงของระดับน้ำตามวิสัยของผู้ควบคุมเรือจะพึงปฏิบัติเป็นเหตุให้เรือฉลอมดังกล่าวเกยตื้นเมื่อเวลาประมาณ 2.00 นาฬิกาของวันที่ 14กันยายน 2515 เมื่อระดับน้ำลดลง ทำให้เรือเอียงน้ำไหลเข้าและจม เยื่อกระดาษจำนวน 1002 มัด เปียกน้ำเสียหายสินค้าเยื่อกระดาษดังกล่าว บริษัทเต็กเฮงจำกัด เอาประกันวินาศภัยไว้กับโจทก์ โจทก์ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้บริษัทเต็กเฮง จำกัด ตามสัญญาประกันภัยไปเป็นเงิน 742,564.24 บาท โจทก์จึงเข้าเป็นผู้รับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย โจทก์ได้ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2515 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 9,282 บาท และอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องและหน้าที่ขนเยื่อกระดาษขึ้นลงเป็นของบริษัทเต็กเฮง จำกัด ผู้ว่าจ้าง จำเลยมีหน้าที่เพียงบรรทุกจากเรือคิงสวิลล์ไปถึงท่าเรือของบริษัทโรงงานกระดาษกรุงเทพ จำกัด เท่านั้นเรือได้เทียบท่าดังกล่าวเรียบร้อยปลอดภัยแล้ว ตั้งแต่เวลาประมาณ 14 นาฬิกาของวันที่ 13 กันยายน 2515 จำเลยได้บอกกล่าวให้บริษัทเต็กเฮง จำกัด ทราบและรีบขนขึ้นแต่ไม่มาขน จำเลยเตือนหลายครั้งจนเวลา 1 นาฬิกาเศษ วันที่ 14 เดือนเดียวกันน้ำลงเรือเกยตื้นทางบริษัทเต็กเฮง จำกัด จึงเริ่มลงมือขนเมื่อตอน 2.00 นาฬิกา ขนได้เกือบครึ่งเรือจึงจม อันเป็นความผิดของฝ่ายบริษัทเต็กเฮงจำกัด ผู้ว่าจ้างเอง ซึ่งผู้ว่าจ้างก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของบริษัทเอง และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลย ค่าจ้างในการขนส่งก็ชำระให้จำเลยครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์574,136 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน2515 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1ซึ่งไม่ได้อุทธรณ์ด้วย เพราะเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัทเต็กเฮง จำกัด ได้จ้างให้จำเลยเอาเรือฉลอมบรรทุกเยื่อกระดาษจากเรือเดินทะเลคิงสวิลล์ไปส่งถึงท่าเรือของบริษัทโรงงานกระดาษกรุงเทพ จำกัด เท่านั้น บริษัทเต็กเฮง จำกัด มีหน้าที่ขนเยื่อกระดาษขึ้นจากเรือจำเลยหาใช่จำเลยมีหน้าที่ขนเยื่อกระดาษขึ้นมาไว้ในโกดังของโรงงานกระดาษสหไทย จำกัด ไม่

วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จากการนำสืบของโจทก์และจำเลยได้ความชัดเจนว่าเรือฉลอมลำเกิดเหตุบรรทุกเยื่อกระดาษมาเทียบท่าเรือบริษัทโรงงานกระดาษสหไทย จำกัด ตั้งแต่เวลา 11 นาฬิกาเศษของวันที่ 13กันยายน 2515 แต่คนงานมิได้มาขนเยื่อกระดาษขึ้นจากเรือ ทั้งที่ฝ่ายจำเลยได้ไปเตือนและเร่งและแจ้งให้ฝ่ายบริษัทเต็กเฮง จำกัด ทราบ พวกคนงานก็ยังไม่มา อ้างว่ากินข้าวกลางวันก่อนบ้าง ยังไม่พร้อมบ้าง จนกระทั่งเวลากลางคืนพวกคนงานก็ยังไม่มา และน้ำก็เริ่มลง ทำให้เรือเกยตื้นในลักษณะหัวเรือสูงท้ายเรือต่ำ เพราะพื้นแม่น้ำตรงนั้นไม่เรียบ พวกคนงานมาถึงเมื่อราวเที่ยงคืนมาราว 10 คน และขนเยื่อกระดาษเฉพาะที่อยู่ตอนหัวเรือได้ 362 มัด พอราว 2 นาฬิกาของวันที่ 14 เดือนนั้น น้ำก็เริ่มขึ้น แต่เนื่องจากน้ำหนักเรือถ่วงอยู่ทางท้ายเรือ เรือจึงไม่ลอย น้ำก็เข้าไปในเรือทำให้เรือจมลงไป พฤติการณ์เหล่านี้แสดงว่าถ้าคนงานมาขนเยื่อกระดาษขึ้นเสียตั้งแต่โอกาสแรกที่จะทำได้แล้วก็จะขนเยื่อกระดาษขึ้นได้หมด และเรือก็จะไม่จม ความเสียหายต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะการขนเยื่อกระดาษขึ้นจากเรือ จำเลยนั้นใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น แต่เรือจำเลยไปจอดเทียบท่ารอการขนขึ้นนั้นมีเวลากว่า 10 ชั่วโมงพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ ถือได้ว่าการสูญหายหรือบุบสลายเกิดเพราะความผิดของบริษัทเต็กเฮง จำกัดผู้ส่ง จำเลยผู้ขนส่งจึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 หาใช่เป็นเรื่องนายสุทัศน์ลูกจ้างของจำเลยนำเรือเข้าจอดเทียบท่าด้วยความประมาทไม่ตรวจดูความตื้นลึกของบริษัทที่จอดเรือตามวิสัยของผู้ควบคุมเรือจะพึงปฏิบัติตามข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายและเหตุผลแล้ว

พิพากษายืน

Share