แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์3คดีโจทก์ชอบที่จะร้องขอบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามภายในสิบปีนับแต่วันที่ศาลในคดีนั้นๆพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าในคดีแรกโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดแต่ไม่สามารถขายได้เพราะทรัพย์ที่ถูกยึดสูญหายและจำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนเป็นเงิน1,500,000บาทภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาก็ตามก็เป็นขั้นตอนของการบังคับคดีเมื่อหนี้ตามคำพิพากษาแต่ละคดีที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลายโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีเสียภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามโจทก์จึงไม่อาจนำหนี้ที่พ้นกำหนดเวลาบังคับคดีดังกล่าวแล้วมาฟ้องจำเลยทั้งสามให้ล้มละลายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นรวม 3 คดี คือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11167/2523ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2523 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,940,131.90 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7461/2524 ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่8 กรกฎาคม 2524 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 60,511.76 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7813/2524 ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2524 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,773,021.74 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้แก่โจทก์โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11167/2523 และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2524 รวม 14 รายการต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม 2531 จำเลยทั้งสามได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนจำนวน 1,500,000 บาท โจทก์นำไปชำระหนี้ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7461/2524 ได้ครบถ้วน และยังมีเงินเหลือจำนวน1,352,955.18 บาท โจทก์นำไปชำระหนี้ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7813/2524 ได้บางส่วน จำเลยทั้งสามคงเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7813/2524 และตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11167/2523 ส่วนทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไว้ได้สูญหายไปเมื่อมีการประกาศขายทอดตลาดครั้งสุดท้ายวันที่22 กุมภาพันธ์ 2532 เมื่อรวมกับหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7813/2524 จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์คิดเพียงถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 11,925,226.18 บาท จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ และเคยถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ปิดสถานที่ประกอบธุรกิจจำเลยที่ 2 และที่ 3 หลบหนีไปเสียจากเคหสถานที่เคยอยู่ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามดังกล่าวถือได้ว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้โจทก์และไม่เคยชำระหนี้แก่โจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7461/2524 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7813/2524 ของศาลชั้นต้นมูลหนี้ที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง โจทก์มิได้เรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสามภายในกำหนดเวลา 10 ปี หนี้ดังกล่าวจึงขาดอายุความจำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า หนี้ในส่วนของจำเลยที่ 3ขาดอายุความ แต่ในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่ขาดอายุความพฤติการณ์ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5)มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 และที่ 2 เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 3เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีข้อจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสาม ข้อแรกว่าโจทก์จะนำหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเกินกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษามาฟ้องให้จำเลยทั้งสามล้มละลายได้หรือไม่เห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์คดีแรกเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2523 คดีที่ 2 เมื่อวันที่8 กรกฎาคม 2524 และคดีที่ 3 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2524โจทก์ชอบที่จะร้องขอบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามภายในสิบปีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นในคดีนั้น ๆ พิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าในคดีแรกโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์2524 ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม 2524 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้โดยยึดทรัพย์ 14 รายการ และประกาศขายทอดตลาดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2532 แต่ไม่สามารถขายได้เพราะทรัพย์ที่ถูกยึดสูญหาย และเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2531 จำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 1,500,000 บาทก็ตาม ก็เป็นขั้นตอนของการบังคับคดี เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาแต่ละคดีที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีเสียภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสาม โจทก์จึงไม่อาจนำหนี้ที่พ้นกำหนดเวลาบังคับคดีดังกล่าวแล้วมาฟ้องจำเลยทั้งสามให้ล้มละลายได้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2538 (ประชุมใหญ่) ระหว่างธนาคารกรุงเทพจำกัด โจทก์ นายตงเลี้ยงหรือม้วงควร แซ่เต็ง กับพวก จำเลยปัญหาตามฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสามจึงไม่จำต้องวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์