แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกส่งเฮโรอีนมีน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 6,000 กรัม ไปให้ อ. โดยมีเจตนาเพื่อที่จะให้ อ. ส่งมอบแก่ลูกค้าผู้ซื้อต่อไป ดังนั้น ระหว่างจำเลยกับ อ. ต้องถือว่าเป็นการส่งมอบเฮโรอีนระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกันเองซึ่งไม่ถือว่าเป็นการจำหน่าย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน แต่การที่จำเลยส่งเฮโรอีนไปยังบริษัท น. ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งมอบให้ อ. จัดส่งให้แก่ลูกค้าต่อไป แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจำหน่ายเฮโรอีนและการกระทำของจำเลยเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการส่งมอบเฮโรอีนใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้นถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เลยขั้นตระเตรียมการแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเฮโรอีน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนไทยมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย จำเลยทั้งสองกับพวกสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตกลงส่งเฮโรอีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4, 5, 8, 14 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 (1) วรรคหนึ่ง, 8 วรรคสอง ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง คำให้การของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) (2) ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 30 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พยานพฤติเหตุแวดล้อมที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานสมคบกันเป็นตัวการร่วมกับพวกมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายทั้งเฮโรอีนของกลางมีน้ำหนักสารบริสุทธิ์ถึง 6,000 กรัม ซึ่งเกินกว่า 20 กรัม ยังต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายโดยเด็ดขาดที่ให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกด้วย ส่วนความผิดฐานสมคบเป็นตัวการร่วมกับพวกจำหน่ายเฮโรอีนนั้น จำเลยทั้งสองกับพวกส่งเฮโรอีนของกลางไปให้นายอภิชัยโดยมีเจตนาเพื่อที่จะให้นายอภิชัยส่งมอบแก่ลูกค้าผู้ซื้อต่อไป ดังนั้น ระหว่างจำเลยทั้งสองกับนายอภิชัยต้องถือว่าเป็นการส่งมอบเฮโรอีนระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกันเองซึ่งไม่ถือว่าเป็นการจำหน่าย จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน แต่การที่จำเลยทั้งสองส่งเฮโรอีนไปยังบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล สปอร์ต จำกัด ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งมอบให้นายอภิชัยเพื่อจะจัดส่งให้แก่ลูกค้าต่อไปนั้น แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาจำหน่ายเฮโรอีนและการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการส่งมอบเฮโรอีนใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เลยขั้นตระเตรียมการแล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเฮโรอีนจำนวนเดียวกับที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นอีกฐานหนึ่งด้วย…ฯลฯ…พยานหลักฐานจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ส่วนเหตุที่จับจำเลยทั้งสองหลังเกิดเหตุเป็นเวลานาน น่าเชื่อว่าเป็นเพราะเจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้องต้องแก้ปัญหาเนื่องจากขณะเกิดเหตุยังไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกาเรื่องมาตรการในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ข้อที่อ้างว่ามิได้จับจำเลยทั้งสองได้พร้อมเฮโรอีนของกลางนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแต่แรก ทั้งการหาเฮโรอีน ตัวบุคคล เอกสารกำกับ และวิธีการจัดส่งทุกขั้นตอนตลอดเส้นทางจนมีการส่งเฮโรอีนของกลางถึงปลายทางตรงตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองและถูกตรวจยึดได้ในที่สุดเมื่อนำเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเจตนายึดถือเฮโรอีนของกลางอยู่ในครอบครองของจำเลยทั้งสองเพื่อจำหน่ายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในฐานความผิดร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วนและฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจะได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ความใหม่แทน แต่คดีนี้เฮโรอีนของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกิน 20 กรัม ขึ้นไป กฎหมายที่แก้ไขใหม่ตามมาตรา 66 วรรคสาม ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสอง ไม่เป็นกรณีที่จะต้องแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 (1) วรรคหนึ่ง, 8 วรรคสอง ความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเฮโรอีนเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) (2) ให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 30 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์