แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องในคดีแพ่งโจทก์ฟ้องขอให้ชำระหนี้และบังคับจำนอง หากยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดได้ แต่เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมกลับระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความว่า หากจำเลยผิดนัดชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีและให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องได้ทันที โดยไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดอีก ไม่ปรากฏข้อความว่า หากบังคับชำระหนี้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นได้ด้วย ดังนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยประสงค์จะบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองตามฟ้องเท่านั้น เมื่อโจทก์บังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้อีก โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครปฐม คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2077/2545 ซึ่งศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังนี้
ข้อ 1 จำเลยทั้งสามยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์คือ
1.1 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ตกลงร่วมกันชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์ จำนวน 12,253,890.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.50 บาท ของต้นเงิน 7,000,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน 4,663,184.73 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ
1.2 จำเลยที่ 2 ตกลงร่วมกันชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์จำนวน 7,002,223.08 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.50 ต่อปี ของต้นเงิน 6,664,676.99 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน 2,664,676.99 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
1.3 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ตกลงร่วมกันชำระหนี้เงินกู้รวม 3 ฉบับแก่โจทก์ จำนวน 23,876,974.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 16,383,638.10 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
1.4 จำเลยที่ 2 ตำลงชำระหนี้เงินกู้ ตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2538 และ 8 สิงหาคม 2538 จำนวน 20,263,441.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 13,731,310.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
1.5 จำเลยที่ 1 ตกลงชำระค่าเบี้ยประกันภัย จำนวน 3,152.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,137.24 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ข้อ 2 โจทก์ตกลงลดยอดหนี้ในข้อ 1. ให้แก่จำเลยทั้งสามเหลือจำนวน 19,152,000 บาท โดยแบ่งต้นเงินจำนวน 152,000 บาท ให้ชำระเป็น 2 งวด โดยชำระในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและภายในวันที่ 31 มกราคม 2546 งวดละ 76,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 19,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา MLR บวก 1.25 ต่อปี ตามประกาศของบริษัทเงินทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) โดยจำเลยทั้งสามตกลงชำระเป็นงวดรายเดือน เป็นเวลา 7 ปี (84 งวด) ดังนี้ ปีที่ 1 งวดละ 70,000 บาท ปีที่ 2 งวดละ 100,000 บาท ปีที่ 3 งวดละ 200,000 บาท ปีที่ 4 งวดละ 300,000 บาท ปีที่ 5 งวดละ 400,000 บาท ปีที่ 6 งวดละ 500,000 บาท ปีที่ 7 งวดละ 700,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2546 งวดถัดไปชำระทุกวันสุดท้ายของเดือนจนเสร็จสิ้น หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีตามข้อ 1 และยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องได้ทันที จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์แต่อย่างใด โจทก์ขอศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดคงเหลือหนี้ ณ วันที่ 15 มีนาคม 2550 จำนวน 53,998,289.55 บาท หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสามรวมสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยทั้งสามก็ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์แต่อย่างใดคำนวณยอดหนี้ถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นหนี้โจทก์ จำนวน 57,529,603.03 บาท จำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ จำนวน 23,269,535.07 บาท จำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องกล่าวคือ เมื่อจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองเท่านั้น เนื่องจากสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีข้อความว่า หากบังคับชำระหนี้เอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นได้ด้วย ดังนั้น การที่โจทก์บังคับคดีเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วเงินยังขาดอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามได้อีก นอกจากนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 ที่ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามยินยอมตามข้อ 1 ถึงข้อ 6 ทุกประการ โดยไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดอีก แสดงให้เห็นว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงระงับข้อพิพาทว่า หากโจทก์บังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองแล้ว โจทก์ไม่ติดใจที่จะเรียกร้องเงินอื่นใดกับจำเลยทั้งสามอีก หนี้ดังกล่าวจึงระงับสิ้นไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 และให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2545 ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจกท์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2077/2545 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม เอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 หลังจากศาลมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสามผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ขอศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำนอง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 37239 ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินโฉนดเลขที่ 17059 ตำบลหาดเจ้าสำราญ อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 7492 ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้บางส่วน คงเหลือหนี้ ณ วันที่ 15 มีนาคม 2550 จำนวน 53,998,289.55 บาท คำนวณยอดหนี้ถึงวันฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นเงิน 57,529,603.03 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 23,269,535.07 บาท ตามบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายเงิน และบัญชีแสดงภาระหนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.12 ถึง จ.14
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องในคดีแพ่งโจทก์จะฟ้องขอให้ชำระหนี้และบังคับจำนอง หากยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดได้ก็ตาม แต่เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกลับระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 6 ว่า หากจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ข้อ 2 และข้อ 3 งวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีตามข้อ 1 และให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องได้ทันที และระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 7 ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามยินยอมตามข้อ 1 ถึง ข้อ 6 ทุกประการ โดยไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดอีก โดยไม่ปรากฏข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความว่า หากบังคับชำระหนี้เอาทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ก็ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นได้ด้วย ดังนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามประสงค์จะบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองตามฟ้อง (สามแปลง) เท่านั้น ดังนั้น เมื่อโจทก์บังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ หนี้ของจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามได้อีก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ