คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3220/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

นิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่รักษาทรัพย์ส่วนบุคคล ทั้งการละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้กระทำหรือตนไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องกระทำก็ไม่เป็นละเมิด การที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลตรวจตราอาคารชุดโดยใกล้ชิด จึงเป็นเหตุให้คนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในห้องชุดของโจทก์ จะถือเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 งดเว้นหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดฐานต่อโจทก์ฐานละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องชุดเลขที่ 759/290 ตั้งอยู่ชั้น 13 อาคารเลขที่ 1 คอมมอนเวลธ์ ปิ่นเกล้า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มีนายสุวิทย์ เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นผู้รับประกันภัยในทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดูแล เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา พนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ลาดตระเวนตรวจตราภายในอาคารเป็นเหตุให้คนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในห้องชุดของโจทก์ โดยวิธีงัดกุญแจทั้งสามชุดออก และทุบประตูห้องได้รับความเสียหาย ทรัพย์สินที่ถูกลักไป คือ เครื่องเพชร ราคาประมาณ 1,500,000 บาท เครื่องเล่นซีดี ราคา 8,000 บาท ตู้เสื้อผ้าถูกทุบเสียหาย ราคา 30,000 บาท ตัวลอกกุญแจ 1 ชุด ราคา 1,980 บาท และกุญแจลูกบิด ราคา 790.25 บาท รวมค่าเสียหายเป็นเงิน 1,542,970.25 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างจะต้องรับผิดและจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยในทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,591,177 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 1,542,975 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากนิติบุคคลอาคารชุดมีหน้าที่ในการจัดการและรักษาทรัพย์สินส่วนกลางเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนบุคคล ทั้งตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของร่วมหรือโจทก์กรณีทรัพย์สินส่วนบุคคลหาย หน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่เคยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ได้จัดให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานสากลจึงถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดในเรื่องการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี เสมือนเช่นบุคคลผู้มีหน้าที่ในการจัดการอาคารชุดอื่นพึงปฏิบัติแล้ว ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายเกิดจากเหตุสุดวิสัยอยู่เหนือการควบคุมดูแลของจำเลยที่ 1 และเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง ทรัพย์สินตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 6 โจทก์ไม่ได้มีหรือเก็บรักษาภายในห้องชุดของโจทก์ และไม่ได้มีราคาตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากทรัพย์สินสูญหายอยู่นอกเหนือความรับผิดของจำเลยที่ 2 ตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติตามระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุดโดยจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยในระบบมาตรฐานสากล ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายโดยเหตุสุดวิสัย โจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังในการจัดเก็บและดูแลทรัพย์สินตามที่วิญญูชนพึงปฏิบัติ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 309,657.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542) ต้องไม่เกิน 48,217.82 บาท ตามขอ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 159/290 ตั้งอยู่บนชั้น 13 อาคารชุดคอมมอนเวลธ์ ปิ่นเกล้า แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร โดยโจทก์ได้ชำระเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นรายปี ปีละ 6,120 บาท จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลอาคารชุดคอมมอนเวลธ์ ปิ่นเกล้าและได้ว่าจ้างพนักงานดูแลความปลอดภัย หรือความสงบเรียบร้อยภายในอาคารชุดดังกล่าวจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และทำสัญญารับประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ตามตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา มีคนร้ายงัดกุญแจประตูห้องชุดพิพาทเข้าไปลักทรัพย์ของโจทก์หลายรายการรวมเป็นค่าเสียหาย 1,542,970.25 บาท ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.14 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยที่ 1 ได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้คนร้ายลักทรัพย์นั้นไปหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 4 วรรคสอง บัญญัติว่า “ทรัพย์ส่วนบุคคล” หมายความว่าห้องชุดและหมายความรวมถึงสิ่งปลูกสร้างหรือที่ดินที่จัดไว้ให้เป็นของเจ้าของห้องชุดแต่ละราย วรรคสาม บัญญัติว่า “ห้องชุด” หมายความว่า ส่วนของอาคารชุดที่แยกการถือกรรมสิทธิ์ออกได้เป็นส่วนเฉพาะของแต่ละบุคคล และวรรคสี่ บัญญัติว่า “ทรัพย์ส่วนกลาง” หมายความว่า ส่วนของอาคารชุดที่มิใช่ห้องชุด ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด และที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วม ส่วนการจัดการทรัพย์ส่วนกลางต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 17, 33, 36 และ 37 กล่าวคือ ต้องมีนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและตามข้อบังคับโดยมีผู้จัดการหรือคณะกรรมการเป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลาง จะเห็นได้ว่าตามบทบัญญัติและข้อบังคับดังกล่าว นิติบุคคลอาคารชุดไม่มีหน้าที่รักษาทรัพย์ส่วนบุคคลแต่ประการใด ตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความแต่เพียงว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลตรวจตราอาคารชุดทุกชั้นโดยใกล้ชิด จึงเป็นเหตุให้คนร้ายเข้าไปในห้องชุดระมัดระวังดูแลตรวจตราอาคารชุดทุกชั้นโดยใกล้ชิด จึงเป็นเหตุให้คนร้ายเข้าไปในห้องชุดลักทรัพย์ของโจทก์ไปนั้น ในกรณีเช่นนี้ตามกฎหมายลักษณะละเมิดหามีบทมาตราใดบัญญัติไว้ว่าเป็นละเมิดไป เพราะการละเมิดนั้นเป็นประทุษกรรมกระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย หรือละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายบัญญัติให้กระทำ หรือที่ตนมีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ การละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้กระทำหรือตนไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องกระทำหาเป็นละเมิดไม่ ดังนี้ การที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลตรวจตราอาคารชุดโดยใกล้ชิด จึงเป็นเหตุให้คนร้ายเข้าไปลักทรัพย์นั้น จะถือว่าเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 งดเว้นหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นตามฎีกาของโจทก์อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share