แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากผู้ร้องแล้วนำไปกระทำผิดในระหว่างที่สัญญาเช่าซื้อยังไม่ได้เลิกกันศาลสั่งริบรถจักรยานยนต์ดังกล่าวภรรยาของจำเลยได้ติดต่อขอให้ผู้ร้องขอรถจักรยานยนต์คืนส่วนภรรยาจำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อที่เหลือให้ผู้ร้องเพื่อให้ผู้ร้องโอนกรรมสิทธิ์ให้ภรรยาจำเลยผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ก็เพื่อเจตนาเพียงจะได้รับชำระเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาและกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำผิดเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้ผู้ร้องได้.
ย่อยาว
ศาลพิพากษาลงโ?าจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์และสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางและไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดขอให้คืนของกลางให้ผู้ร้อง โจทก์คัดค้าน
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ผู้ร้องและโจทก์นำสืบ กับที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาว่า รถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิจีพี 100 คันหมายเลขทะเบียน 1 ก-2253 ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2525 ผู้ร้องได้ให้จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คันนี้ไปในราคา 11,530 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 635 บาท รวม 18 เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 8สิงหาคม 2526 จำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์คันนี้เป็นยานพาหนะทำการวิ่งราวทรัพย์ของนางวลัย คงนนท์ ผู้เสียหายและถูกฟ้องศาล คดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นคดีนี้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ได้ความตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางแล้ว จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้องเพียง 11 งวด งวดสุดท้ายชำระให้เพียง 230 บาทหลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องอีกเลย ยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่อีก 4,000 บาทเศษ แต่ผู้ร้องก็ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลางคืน ที่นายดิเรกพุฒซ้อน ผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องเบิกความว่าเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2526 ผู้ร้องได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย คงมีแต่คำนายดิเรกคนเดียวลอย ๆ ฟังเป็นจริงไม่ได้ ข้อเท็จจริงยังได้ความตามคำนายดิเรกต่อไปว่าหลังเกิดเหตุแล้วญาติของจำเลยได้มาติตต่อกับผู้ร้องขอให้ผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ภรรยาจำเลยโดยภรรยาจำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่ค้างอยู่ทั้งหมด และว่าหากภรรยาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดแล้ว ผู้ร้องก็ยินดีจะคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ภรรยาจำเลยตามคำเบิกความของนายดิเรกดังกล่าวเห็นได้ว่าสัญญาเช่าซื้อยังไม่ได้เลิกกัน และที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนก็เพราะญาติของจำเลยขอร้องและผู้ร้องมีเจตนาเพียงที่จะได้รับชำระเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้น เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลย ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องตามคำสั่งศาลชั้นต้น”.