แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนพนักงานอัยการฟ้องนายโหมดผู้ที่โจทก์มอบให้ดูแลที่พิพาทแทนโจทก์ในข้อหาบุกรุก คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่า นายโหมดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา362คำพิพากษาดังกล่าวที่ว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
คำแถลงร่วมของคู่ความที่ว่า ‘ให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยโดยคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว (คดีก่อน)มาประกอบการพิจารณาพิพากษาในสำนวนนี้ด้วย’นั้น คู่ความหาได้ตกลงกันให้ศาลนำข้อเท็จจริงที่รับฟังโดยคำพิพากษาคดีก่อนมาวินิจฉัยชี้ขาดเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้โดยคู่ความไม่สืบพยานไม่ เพียงแต่ให้นำมาเป็นพยานหลักฐานประกอบการพิจารณาในคดีนี้ด้วยเท่านั้น เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไปแล้วกับคำแถลงร่วมดังกล่าว ยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ชอบที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนางแจ้ง ซึ่งเป็นพี่ร่วมบิดามารดากับนางมากนางมากมีสามีชื่อนายทอง นายทองและนางมากไม่มีบุตร นายทองตายเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2505 นางมาตายเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2514 เมื่อนางมากตาย โจทก์ในฐานะทาญาติโดยธรรมได้รับมรดกที่ดินหนึ่งแปลงเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ โจทก์ได้ครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยให้นางสมใจพี่โจทก์และนายโหมดสามีนางสมใจเข้าทำกินในนามของโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 จนถึงวันฟ้อง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2520 จำเลยเข้าขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยห้ามนายโหมดทำนาอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายทอง จำเลยรับมรดกที่ดินแปลงนี้แทนที่นางเลี้ยงมารดาของตนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2521 โจทก์มาเบิกความเป็นพยานจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2153/2520 ระหว่างพนักงานอัยการโจทก์ นายโหมดกับพวก จำเลย จึงทราบว่าจำเลยอ้างว่าได้ที่ดินแปลงนี้มาโดยนางมากทำพินัยกรรมยกให้ เมื่อครั้งจำเลยยื่นขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้ไม่เคยอ้างว่ามีพินัยกรรม โจทก์เชื่อว่าเป็นพินัยกรรมปลอมขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียว ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง เพิกถอนการโต้แย้งสิทธิของจำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า นางมากได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้จำเลยและนางทิมภริยาจำเลยและนางทิมครอบครองที่พิพาทตลอดมาตั้งแต่ก่อนนางมากตาย โจทก์หรือนายโหมดหรือนางสมใจไม่เคยเกี่ยวข้อง โจทก์เป็นเพียงหลานนายทองนางมาก ทายาทโดยธรรมของบุคคลทั้งสองลำดับก่อนโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หลายคน โจทก์จึงถูกตัดมิให้รับมรดกโดยกฎหมายโจทก์ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาท 4 ข้อ และโจทก์รับเป็นฝ่ายนำสืบก่อน เมื่อสืบตัวโจทก์ได้หนึ่งปากแล้วคู่ความแถลงร่วมกันขอให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อฟังผลในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2153/2520 ซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายโหมดกับพวกเป็นจำเลยฐานบุกรุกที่ดินของจำเลยเนื้อที่ 2 ไร่เศษซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่พิพาทคดีนี้ จำเลยคดีนี้เข้าเป็นโจทก์ร่วม คู่ความแถลงร่วมกันว่า “ให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยโดยคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาพิพากษาในสำนวนนี้ด้วย” ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมาเมื่อคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2153/2520 หมายเลขแดงที่ 1302/2522 ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่า นายโหมดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ที่เหลือและพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายได้แถลงขอให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยโดยคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2153/2520 มาประกอบการพิจารณาพิพากษาในสำนวนคดีนี้ คดีอาญาดังกล่าวศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยคดีนี้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทและเป็นเจ้าของที่พิพาท แม้ศาลจะให้คู่ความทั้งสองฝ่ายสืบพยานไปก็ไม่มีทางที่จะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าว คำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ คดีนี้ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว ศาลมีอำนาจที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้คำแถลงของคู่ความที่ขอให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยโดยคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาพิพากษาในสำนวนคดีนี้ด้วยนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยโดยคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวที่ถึงที่สุดเป็นแต่เพียงพยานหลักฐานที่คู่ความอ้างไว้ส่วนหนึ่งเท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแล้วประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้รับวินิจฉัยในคดีอาญาดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวด้วยคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลฎีกาในคดีอาญาดังกล่าวที่ว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นจำเลยคดีนี้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ชอบที่จะฟ้องและนำสืบได้ว่าที่พิพาทเป็นของตน ในปัญหาที่ว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดให้จำเลยชนะคดีหรือไม่นั้น ตามคำแถลงร่วมของคู่ความดังกล่าวข้างต้น คู่ความหาได้ตกลงกันให้ศาลนำข้อเท็จจริงที่รับฟังโดยคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1302/2522 มาวินิจฉัยชี้ขาดเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้โดยคู่ความไม่สืบพยานไม่ เพียงแต่นำมาเป็นพยานหลักฐานประกอบการพิจารณาพิพากษาในคดีนี้ด้วยเท่านั้น พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมาแล้วก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์รับว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไปแล้วกับคำแถลงร่วมของคู่ความดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ชอบที่ศาลจะให้คู่ความนำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างและข้อต่อสู้ตามประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้
พิพากษายืน