แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าที่พิพาท ผู้ร้องกับจำเลยและนางยะถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโจทก์ก็มีสิทธินำยึดส่วนของจำเลยได้ที่ผู้ร้องอ้างว่าหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นหนี้ที่สมยอมกันนั้นจะจริงหรือไม่ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียด้วยจึงไม่มีสิทธิจะยกขึ้นคัดค้านได้
ย่อยาว
คดีนี้เนื่องจากโจทก์นำยึดที่ดินเนื้อที่ 26 ไร่เศษ ในโฉนดเลขที่ 6815 ตำบลสิงหนาท อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเฉพาะส่วนของจำเลย เพื่อใช้หนี้โจทก์ตามคำพิพากษา นางแพร้องคัดค้านว่าโจทก์นำยึดเกินไป 11 ไร่เศษ ราคา 3,000 บาท ทั้งหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยก็สมยอมกันเพราะความจริงจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ ขอให้ถอนการยึด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่าหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการสมยอมกัน นางจิได้ยกที่ดินโฉนดนี้ให้แก่ผู้ร้อง แก่นางยะและจำเลยโดยมิได้แบ่งเป็นส่วนคงให้ร่วมกัน ต้องฟังว่าผู้ร้องนางยะและจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันทั้งการครอบครองก็ร่วมกัน ไม่ได้ครอบครองเป็นส่วนสัด โจทก์มีสิทธินำยึดที่ดินอันเป็นส่วนของจำเลยได้ พิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ของนางแพผู้ร้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางแพผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องจะยกข้ออ้างว่า หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นหนี้สุจริตหรือไม่สุจริตได้หรือไม่ เห็นว่าการเป็นหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยจะมีกันจริงหรือไม่ก็เป็นเรื่องระหว่างเขาทั้งสอง ซึ่งผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียด้วยผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิจะยกขึ้นคัดค้านได้ ส่วนที่ผู้ร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องนำสืบได้ว่านางจิยกที่ดินให้แก่นางยะกับจำเลยแล้วต่างแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดนั้น เป็นการคัดค้านข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่รับวินิจฉัยเนื้อที่ดินโฉนดที่ 6815 มีชื่อผู้ร้องนางยะและจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยมิได้ระบุว่าส่วนของใคร เท่าใด ต้องถือว่าต่างเป็นเจ้าของคนละส่วนเท่า ๆ กัน โจทก์มีสิทธินำยึดส่วนของจำเลยได้พิพากษายืน