แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพิพากษาคดีส่วนแพ่งที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 นั้น เป็นกรณีที่ศาลในคดีส่วนแพ่งจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงในประเด็นที่คู่ความยังคงโต้แย้งกันอยู่และเป็นประเด็นเดียวกันกับที่ศาลในคดีส่วนอาญาจะต้องวินิจฉัย ทั้งนี้เพื่อให้การรับฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันเป็นไปในทางเดียวกัน เมื่อคดีในส่วนอาญาศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีส่วนกระทำการโดยประมาท คดีส่วนแพ่งจึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามและพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามสัดส่วนแห่งความประมาทของตน การที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งเฉพาะดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหาย โดยมิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้มีส่วนประมาทด้วยแต่อย่างใด แม้ต่อมาความจะปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนอาญาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจจะฎีกาได้ เนื่องจากประเด็นดังกล่าวได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ทั้งเป็นการต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาททำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 18,715 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และใช้เงิน 104,324 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 และตัดทอนค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 ลงมาด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 12,476.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 69,549.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 49,549.33 บาท แก่โจทก์ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่ชำระเกินมา 821 บาท แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 โจทก์ที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กลธ พิษณุโลก 68 ของโจทก์ที่ 1 โดยมีโจทก์ที่ 1 นั่งซ้อนท้ายด้วยความประมาทเลินเล่อไม่ชิดขอบทางเดินรถด้านซ้ายและขับคร่อมหรือทับเส้นแบ่งช่องเดินรถเฉี่ยวชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บธ 175 พิษณุโลก ซึ่งจำเลยขับแซงรถคันอื่นบริเวณทางโค้งขณะที่มีรถแล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย และโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส ต่อมาพนักงานอัยการศาลแขวงพิษณุโลกเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ที่ 2 และจำเลยเป็นคดีอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ที่ 2 และจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่อุทธรณ์ ส่วนจำเลยยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนอาญาพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดทางแพ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ เห็นว่า การพิพากษาคดีส่วนแพ่งที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้น เป็นกรณีที่ศาลในคดีส่วนแพ่งจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงในประเด็นที่คู่ความยังคงโต้แย้งกันอยู่และเป็นข้อเท็จจริงในประเด็นเดียวกันกับที่ศาลในคดีส่วนอาญาจะต้องวินิจฉัย กฎหมายจึงกำหนดให้ศาลในคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ทั้งนี้เพื่อให้การรับฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันเป็นไปในทางเดียวกัน คดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลชั้นต้นในคดีส่วนอาญาวินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ที่ 2 และจำเลยต่างคนต่างประมาท แต่จำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อมากกว่าโจทก์ที่ 2 ศาลชั้นต้นในคดีนี้รับฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาดังกล่าวและพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยกำหนดให้จำเลยรับผิด 2 ใน 3 ของค่าเสียหายที่กำหนดให้แก่โจทก์แต่ละคน จำเลยยื่นอุทธรณ์ในคดีนี้โดยกล่าวในอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนคดีอาญาถึงที่สุดแล้วจึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาว่าจำเลยกับโจทก์ที่ 2 ต่างประมาท ต้องร่วมกันรับผิดในค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดตามสัดส่วนแห่งความประมาทของตน โดยจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งเฉพาะดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการกำหนดค่าเสียหาย และศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนแพ่งก็ได้วินิจฉัยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดค่าเสียหายตามที่จำเลยอุทธรณ์ โดยจำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งในประเด็นว่าจำเลยมิได้มีส่วนประมาทด้วยแต่อย่างใดไม่ แม้ต่อมาความจะมาปรากฏภายหลังว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนอาญาได้วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อและพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลย แต่เมื่อศาลชั้นต้นในคดีนี้วินิจฉัยว่าจำเลยประมาทเลินเล่อโดยรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีส่วนอาญา จำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นว่าจำเลยประมาทเลินเล่อหรือไม่ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนอาญาได้มีคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งคดีนี้ต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนอาญา จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองนั้น จึงเท่ากับเป็นการฎีกาในประเด็นที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันอยู่หรือเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีนี้ อีกทั้งข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีส่วนแพ่ง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกานั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งปัญหาดังกล่าวก็มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่จำเลยจะมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ เพราะปัญหาว่าจำเลยกระทำโดยประมาทหรือไม่คงมีผลเฉพาะต่อความรับผิดของจำเลย มิได้มีผลกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยยอมรับว่าตนเองมีส่วนประมาทและไม่อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติไปตามนั้น จำเลยจึงไม่อาจฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นได้อีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ