คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5043/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 กำลังปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่นั้น มีเสียงตะโกนจากคนร้ายอีกคนหนึ่งว่าเสร็จหรือยังอ.กับว. พยานโจทก์จำได้ว่าเป็นเสียของจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เสียของจำเลยที่ 3 คุ้นหู พยานจึงบอกระบุชื่อจำเลยที่ 2 ให้ผู้เสียหายทราบทันที จนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจสามารถติดตามนำตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดี ประกอบกับจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพมาโดยตลอดจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 340,340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 36,000 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี ความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 21 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาโดยตลอดเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 10 ปี 6 เดือน ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 36,000 บาท แก่เจ้าของ สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง จำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 6 ปี ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์36,000 บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คน ร่วมกันปล้นทรัพย์แหวนเงินและตุ้มหูเงินของบริษัทยูหลิน จำกัด ซึ่งอยู่ในความครอบครองและรับผิดชอบของนางวีนา นันทวิสิทธิ์ผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย และใช้อาวุธปืนขู่เข็ญเพื่อให้ความสะดวกแก่การกระทำผิดดังกล่าว คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ร่วมเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้เสียหายด้วยหรือไม่ โจทก์มีนายอนนท์ ทับทอง กับนายวีระ ถี่ถ้วน เป็นพยานเบิกความยืนยันมั่นคงตรงกันว่า ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 กำลังบังคับให้นายจ๋า ลูกจ้างคนหนึ่งของนางวีนาผู้เสียหายเก็บแหวนและตุ้มหูบนโต๊ะทำงานอยู่นั้น มีเสียงตะโกนจากข้างล่างว่าเสร็จหรือยัง จำได้ว่าเป็นเสียงของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน นายวีระทราบว่าจำเลยที่ 2 เคยเป็นลูกจ้างของนางวีนา จึงบอกระบุชื่อจำเลยที่ 2 ให้นางวีนาทราบทันทีนางวีนาจึงสามารถแจ้งความระบุชื่อของคนร้ายจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจสามารถติดตามนำตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดี เห็นว่าทั้งนายอนนท์ และ นายวีระไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 พยานโจทก์ดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน โดยเฉพาะนายอนนท์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่าพยานได้ยินเสียงจำเลยที่ 2 คุ้นหู ประกอบกับจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นพิจารณา ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 2รับสารภาพโดยไม่สมัครใจแต่ประการใด จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจริงตามฟ้อง”
พิพากษายืน

Share