แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตสมคบกันยักยอกทองคำแท่งที่หนีภาษีได้แล้วปล่อยผู้ต้องหาไปดังนี้แม้ทางพิจารณาจะปรากฏว่ามิใช่ทองคำแท่งที่หนีภาษีมาก็ดีก็ยังไม่เรียกว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องเพราะทองคำของกลางจะเป็นของหนีภาษีหรือไม่ไม่สำคัญและคดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องและเมื่อจำเลยรับทองของกลางจากผู้ต้องหาแล้ว เจตนาทุจริตยักยอกไปเป็นประโยชน์ของตนเสียก็เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์แล้ว จำเลยจะส่งจำหน่ายทองของกลางนั้นต่อไปอย่างไรไม่สำคัญ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเป็นตำรวจประจำการอยู่สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีราชาได้สมคบกันจับกุมตรวจค้นนายหยุดในคดีหาว่านายหยุดลักลอบหนีภาษีนำทองคำเข้ามาในประเทศ แล้วสมคบกันยักยอกทองคำแท่งที่จับได้ 60 แท่งราคา 308,550 บาท นอกนั้นคืนให้นายหยุดและปล่อยตัวไป ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 131, 142, 63, 28 และแก้ไขฯ มาตรา 3 กับขอให้ริบของกลาง
จำเลยทุกคนปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทุกคนผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 131 และแก้ไขมาตรา 3 และมาตรา 142 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 3 ปี จำเลยที่ 2-3 คนละ 2 ปี ลดให้จำเลยที่ 1 ตามมาตรา 59 เสีย 1 ใน 3 คงจำไว้2 ปี ของกลางโจทก์สืบไม่ได้ว่าควรริบอย่างใดให้คืนแก่เจ้าของ
อัยการโจทก์และจำเลยที่ 1, 2, 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 1 เป็นข้อกฎหมายในข้อ ก. และ ค. คือโจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกทองคำที่หนีภาษี แต่ทางพิจารณาได้ความว่าทองคำของกลางเป็นของนายเว่งกี่ มิใช่ทองคำที่หนีภาษี ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต้องกับฟ้อง และคดีนี้ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้เสียหายโจทก์ฟ้องจำเลยไม่ได้
และศาลสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 3 ในปัญหาข้อกฎหมายข้อ 3 ข้อเดียวคือเมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกได้ส่งมอบทองให้พ้นตำรวจตรีจันทรผู้บังคับบัญชาแล้ว การครอบครองทรัพย์นั้นก็ขาดตอนไป การที่จำเลยได้รับแจกทองจาก พ.ต.ต.จันทรจะถือว่าเป็นความผิดนับเนื่องจากการกระทำครั้งแรกว่าเป็นการยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 131 นั้นไม่ชอบ ควรเป็นความผิดฐานรับของโจรซึ่งโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องและไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในฐานนี้
ศาลฎีกาเห็นว่าต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว เพราะคดีนี้จำเลยฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อแรกนั้นสาระสำคัญในฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตสมคบกันยักยอกทองคำแท่งแล้วปล่อยตัวผู้ต้องหาไป ส่วนทองคำแท่งของกลางจะเป็นของหนีภาษีหรือไม่ ๆ สำคัญ แม้ทางพิจารณาจะปรากฏว่ามิใช่ทองคำแท่งที่หลบหนีภาษีมาก็ดี ไม่เรียกว่าต่างกับฟ้อง ส่วนที่จำเลยค้านว่าไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้เสียหายนั้นคดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินอัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 3 นั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยรับทองคำจากนายหยุดแล้วเจตนาทุจริตยักยอกทองคำนั้นไว้เป็นประโยชน์ตนเสียก็เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์นั้นไว้โดยบริบูรณ์แล้วจำเลยจะส่งจำหน่ายทองคำแท่งนั้นต่อไปอย่างไรไม่สำคัญ พิพากษายืนให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 1-3