แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สาระสำคัญของการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522อยู่ที่จำเลยใช้รถผิดประเภท และใช้รถยนต์โดยสารแล่นทับเส้นทางสัมปทานของผู้อื่น อันเป็นความผิดเพราะไม่ได้รับอนุญาต รถยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ การที่ศาลชั้นต้นริบจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงต้องคืนแก่ผู้ร้องโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกาแต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง, 225
ย่อยาว
คดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานใช้รถยนต์โดยสารแล่นรับส่งคนโดยสารทับเส้นทางผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางและริบรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ๓๐ – ๑๙๐๖ กรุงเทพมหานคร ของกลาง คดีถึงที่สุด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถของกลางที่ศาลสั่งริบ และมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ขอให้ศาลสั่งคืนรถของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่ารถของกลางไม่ใช่ของผู้ร้อง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ให้คืนรถของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ของกลางที่ศาลชั้นต้นพิพากษาริบเป็นของผู้ร้องที่ให้จำเลยเช่าซื้อ จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ผิดประเภท และแล่นรับส่งคนโดยสารทับเส้นทางสัมปทานของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก โจทก์จึงฟ้องจำเลยในข้อหาใช้รถยนต์โดยสารผิดประเภทและแล่นรับส่งคนโดยสารทับเส้นทางสัมปทานของผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๒๗, ๔๐, ๑๒๘, ๑๓๘ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวและริบรถยนต์ของกลาง คดีถึงที่สุดผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง และวินิจฉัยว่าคดีนี้สาระสำคัญของการกระทำความผิดดังกล่าวอยู่ที่จำเลยใช้รถผิดประเภทและใช้รถยนต์โดยสารแล่นทับเส้นทางสัมปทานของผู้อื่น อันเป็นความผิดเพราะไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นรถยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาริบจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงต้องคืนรถยนต์ดังกล่าวแก่ผู้ร้องโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกาแต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง, ๒๒๕ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.