คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ประสงค์จะฆ่าผู้ตายติดต่อกับจำเลยที่ 3 ให้หาคนมายิงผู้ตาย จำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อพาจำเลยที่ 1ที่ 2 มาพบผู้ว่าจ้าง และได้รับมอบปืน 2 กระบอกจากผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 วันเกิดเหตุผู้ว่าจ้างพาจำเลยทั้งสามมาดูตัวผู้ตายกับพวกจนจำได้ ตอนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยิงผู้ตายจำเลยที่ 3 ยืนอยู่คนละฝั่งถนนโดยจำเลยที่ 3 มีมีดปลายแหลมติดตัวเพียง 1 เล่มเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยิงผู้ตายแล้วจำเลยที่ 3 เป็นผู้วิ่งนำพาจำเลยที่ 1 ที่ 2 หลบหนี ดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ถึงขั้นเป็นการร่วมมือในขณะกระทำความผิดหรือเป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันทำ เพราะไม่จำเป็นที่จำเลยที่ 3 จะต้องมาคอยชี้หรือให้สัญญาณให้ยิง และคงจะไม่เข้าช่วยเหลือซ้ำเติมหรือทำอันตรายแก่ผู้ตายอีกเพราะไม่มีอาวุธปืน การที่จำเลยที่ 3อยู่ในที่เกิดเหตุก็เพียงคอยวิ่งนำหน้าพาจำเลยที่ 1ที่ 2 หลบหนีไปในเส้นทางที่ตนชำนาญเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการฆ่าผู้ตาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 86เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 83, 91

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 83 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำเลยที่ 2 ที่ 3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 83

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษของจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับได้ใกล้ชิดกับที่เกิดเหตุในขณะที่กำลังวิ่งหลบหนีอยู่กลางทุ่งนาพร้อมด้วยมีดของกลางทั้งนี้โดยผู้ประสงค์จะฆ่าผู้ตายติดต่อกับจำเลยที่ 3 ให้หาคนมายิงผู้ตาย และจำเลยที่ 3เป็นผู้ติดต่อพาจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาพบผู้ว่าจ้าง และได้รับมอบปืน 2 กระบอกจากผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 วันเกิดเหตุผู้ว่าจ้างพาจำเลยทั้งสามมาดูตัวผู้ตายกับพวกจนจำได้ในตอนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยิงผู้ตายจำเลยที่ 3 ยืนอยู่คนละฝั่งถนน และจำเลยที่ 3 ไม่มีอาวุธปืน คงมีแต่มีดปลายแหลมติดตัวอยู่เพียงเล่มเดียว เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2ยิงผู้ตายจำเลยที่ 3 ยืนอยู่คนละฝั่งถนน เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยิงผู้ตายแล้วจำเลยที่ 3เป็นผู้วิ่งนำพาจำเลยที่ 1 ที่ 2 หลบหนี แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวยังไม่ถึงขั้นเป็นการร่วมมือกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฆ่าผู้ตายหรือเป็นการแบ่งแยกหน้าที่กันทำ เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 รู้จักตัวผู้ตายตามที่ผู้ว่าจ้างพามาดูแต่แรกแล้ว ไม่จำเป็นที่จำเลยที่ 3 จะต้องมาคอยชี้หรือให้สัญญาณให้ยิงอีกและเป็นที่เหตุได้ชัดว่า แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะยิงผู้ตายพลาด จำเลยที่ 3 ก็คงไม่เข้าช่วยเหลือโดยซ้ำเติมหรือทำอันตรายแก่ผู้ตายอีก เพราะจำเลยที่ 3 ไม่มีอาวุธปืนและอยู่คนละฝั่งถนนดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยที่ 3 อยู่ในที่เกิดเหตุก็เพียงคอยวิ่งนำหน้าพาจำเลยที่ 1 ที่ 2 หลบหนีไปในเส้นทางที่ตนชำนาญเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 3ดังกล่าวจึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการฆ่าผู้ตายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 86 เท่านั้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ำจเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 86, 52

Share