คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่คู่ความแถลงต่อศาลขอต่อสู้เฉพาะประเด็นเรื่องอายุความไม่ติดใจประเด็นอื่น โดยโจทก์แถลงว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 คดีจึงไม่ขาดอายุความ ส่วนจำเลยว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 และต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจสืบพยานนั้น เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า ตามฟ้องและคำให้การรูปเรื่องยังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้รับคืนเช็คพิพาทมาอย่างไรอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 ได้ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบข้อนี้ ให้ปรากฏเมื่อโจทก์ไม่ติดใจนำสืบก็ไม่อาจหยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งยังไม่ยุติมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง และเมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วก็ไม่มีเหตุใด ๆ ที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คชำระหนี้โจทก์ โจทก์ได้สลักหลังโอนเช็คชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อไป เมื่อเช็คถึงกำหนด ผู้มีชื่อนำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้มีชื่อได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับโจทก์ โจทก์ต้องชำระหนี้ให้แก่ผู้มีชื่อพร้อมทั้งรับเช็คคืนมา ขอศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เช็คตามฟ้องไม่มีการโอนหรือการสลักหลัง จึงไม่อาจมีการไล่เบี้ยกันตามกฎหมาย และตัดฟ้องว่าเช็คตามฟ้องลงวันที่สั่งจ่าย 16 กรกฎาคม 2517 โจทก์เพิ่งฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 5 กันยายน2518 เลยกำหนด 1 ปี ขาดอายุความ

วันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงต่อสู้กันในประเด็นเรื่องอายุความข้อเดียวโดยโจทก์อ้างว่าโจทก์ฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1003 คดีจึงไม่ขาดอายุความ จำเลยอ้างว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 คู่ความไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีขาดอายุความ

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คฉบับพิพาทลงวันที่สั่งจ่ายเป็นวันที่ 16 กรกฎาคม 2517 ให้โจทก์ และโจทก์นำเช็คฉบับดังกล่าวนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2518 และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ตรงกับที่คู่ความแถลง จึงขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีเฉพาะประเด็นเรื่องอายุความใหม่นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้คู่ความแถลงให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อเดียวคือในเรื่องอายุความโดยพิเคราะห์จากคำฟ้องและคำให้การเท่านั้น และคู่ความแถลงไม่สืบพยาน เหตุดังกล่าวในการพิพากษาคดี ศาลจึงต้องถืออายุความเป็นหลักในการวินิจฉัยโดยโจทก์อ้างว่าคดีของตนไม่ขาดอายุความ ส่วนจำเลยอ้างว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยหยิบยกประเด็นขึ้นมาว่าเช็คฉบับพิพาทได้มีการโอนสลักหลังเช็คกันหรือไม่และได้มีการไล่เบี้ยกันหรือไม่เพื่อให้เห็นว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังและได้ใช้เงินแก่ผู้ทรงแล้วได้รับเช็คคืนมาเป็นหลักในการวินิจฉัยแล้ววินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง จำเลยปฏิเสธ โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏเมื่อโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น หาเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นที่คู่ความได้ตกลงและสละกันแล้วไม่

พิเคราะห์จากคำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่าตามรูปเรื่องยังไม่เพียงพอฟังว่าโจทก์ได้รับคืนเช็คพิพาทมาอย่างไรอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 ได้ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏ เมื่อโจทก์ไม่ติดใจสืบศาลฎีกาก็ไม่อาจหยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งยังไม่ยุติมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

โจทก์ฎีกาต่อไปอีกว่าหากข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้สั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้ว จึงไม่มีเหตุใด ๆ ที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ดังข้อฎีกาของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นด้วยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์

พิพากษายืน

Share