แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
บริเวณทะเลจุดที่เกิดเหตุอยู่ในเขตต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีอำนาจตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่จะป้องกันมิให้มีการละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากรได้ ประเทศไทยได้ประกาศเขตอำนาจในเขตต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2538 แล้ว ดังนั้น ในขณะเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจึงมีอำนาจตรวจค้นเรือใดๆ ที่สงสัยว่าจะละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากรและจับกุมผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิดต่อกฎหมายและระเบียบดังกล่าวในทะเลซึ่งเป็นเขตต่อเนื่องได้ การจับกุมจำเลยกับพวกจึงชอบด้วย ป.วิ.อ. ตลอดจนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2538 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุแล้ว
จำเลยลอยเรือเพื่อให้เรือลำอื่นที่ชักธงชาติไทยมารับช่วงน้ำมันไปจำหน่ายแก่เรือประมงอีกทอดหนึ่ง แม้เหตุจะเกิดที่นอกราชอาณาจักรแต่เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักรเพราะเรือที่รับช่วงน้ำมันจะต้องนำน้ำมันไปจำหน่ายให้แก่เรือประมงที่ทำการประมงในทะเลอาณาเขตซึ่งอยู่ในเขตราชอาณาจักรไทย การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในขั้นพยายามต้องด้วย ป.อ. มาตรา 5 วรรคสอง จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 17 มีนาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกร่วมกันลักลอบนำพาน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล 117,414 ลิตร ราคา 352,242 บาท ที่ยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง เข้ามาในราชอาณาจักรทางเรือยนต์ชื่อสกายโอเชี่ยน 3 โดยหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากรและโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ต้องเสียสำหรับของดังกล่าว 323,036 บาท ซึ่งรวมราคาของและค่าอากรแล้วเป็นเงิน 675,278 บาท ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียและรับไว้โดยประการใดซึ่งวิทยุรับส่ง 2 เครื่อง ราคา 8,000 บาท เครื่องหาตำแหน่งที่เรือ 2 เครื่อง ราคา 20,000 บาท มิเตอร์ 2 เครื่อง ราคา 20,000 บาท และสายน้ำมันพร้อมหัวจ่าย 4 สาย ราคา 30,000 บาท ซึ่งจำเลยกับพวกรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรสำหรับวิทยุรับส่ง 989 บาท เครื่องหาตำแหน่งที่เรือ 2,470 บาท มิเตอร์ 8,890 บาท และสายน้ำมันพร้อมหัวจ่ายเป็นเงิน 14,940 บาท รวมราคาของและค่าอากร 105,289 บาท จำเลยมีเครื่องรับส่งวิทยุคมนาคมยี่ห้อไอคอม รุ่น 1 ไอซีเอ็ม 700 จำนวน 1 เครื่อง เครื่องรับส่งวิทยุคมนาคมยี่ห้อซุปเปอร์สตาร์ รุ่น 2400 จำนวน 1 เครื่อง เครื่องหาตำแหน่งที่เรือโดยระบบดาวเทียม 1 เครื่อง และเครื่องหาตำแหน่งที่เรือด้วยเรดาร์ 1 เครื่อง ซึ่งรับส่งสัญญาณด้วยคลื่นแฮรตเซียนอันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตั้งสถานีวิทยุคมนาคมขึ้นในเรือบรรทุกน้ำมันเป็นที่รับและส่งสัญญาณด้วยคลื่นเฮรตเซียนในย่านความถี่ระหว่าง 1,600 ถึง 24,000 กิโลเฮิรตซ์ 26.065 ถึง 28.755 เมกะเฮิรตซ์ 9,410 เมกะเฮิรตซ์ และ 1,575.42 เมกะเฮิรตซ์ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยจัดตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลขึ้นในเรือบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ณ น่านน้ำในราชอาณาจักรไทย โดยสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลมีมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยมาตราชั่งตวงวัดติดตั้งไว้เพื่อจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมปนเพื่อจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวให้มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีเครื่องตวง เครื่องวัด น้ำมันเชื้อเพลิงไม่มียี่ห้อ 2 เครื่อง ซึ่งไม่มีตราเครื่องหมายคำรับรองจากเจ้าพนักงานและไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 ไว้ในความครอบครองของจำเลยโดยติดตั้งในเรือบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล เพื่อใช้ในกิจการต่อเนื่องกับผู้อื่นและในพาณิชยกิจใดๆ ใช้เครื่องตวงและเครื่องวัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือประมงและประชาชนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ร่วมกันทำหน้าที่ควบคุมเรือและเครื่องยนต์เรือสกายโอเซี่ยน 3 อันเป็นเรือบรรทุกและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งใช้เดินอยู่ในทะเลของน่านน้ำราชอาณาจักรไทย ทำการในตำแหน่งนายท้ายเรือ ผู้ควบคุมเครื่องยนต์และช่างเครื่องยนต์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กฎข้อบังคับสำหรับการตรวจเรือกำหนดให้ต้องมีประกาศนียบัตรรับรองความรู้ความสามารถโดยมิได้รับประกาศนียบัตรรับรองความรู้ความสามารถตามกฎหมาย เหตุเกิดที่บริเวณหมู่เกาะอาดัง ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเรือบรรทุกน้ำมัน (น้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล) ชื่อสกายโอเซี่ยน 3 น้ำมันเชื้อเพลิงดีโซลีน (ดีเซล) 117,414 ลิตร วิทยุรับส่ง 2 เครื่อง เครื่องมือหาตำแหน่งที่เรือ 2 เครื่อง มิเตอร์ 2 เครื่อง และสายน้ำมันพร้อมหัวจ่าย 4 สาย ที่จำเลยและพวกมีไว้เป็นความผิด ใช้ในการกระทำผิด และได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง มีผู้แจ้งความนำจับประสงค์รับสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมของกลางดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2459 (ที่ถูก พ.ศ.2469) มาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2489 (ที่ถูก พ.ศ.2498) มาตรา 4 มาตรา 6 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 23 พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2521 มาตรา 4 มาตรา 6 ทวิ มาตรา 13 มาตรา 20 ทวิ และมาตรา 25 ตรี พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 มาตรา 2 มาตรา 19 และมาตรา 31 พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 3 มาตรา 277 และมาตรา 282 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และมาตรา 33 และมาตรา 83 และมาตรา 91 ริบของกลางทั้งหมด เฉพาะวิทยุคมนาคมและเครื่องมือหาตำแหน่งที่เรือของกลางให้ริบไว้เพื่อใช้ในราชการกรมไปรษณีโทรเลข จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับและเงินรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 277 และมาตรา 282 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง มาตรา 11 วรรคหนึ่ง และมาตรา 23 พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 มาตรา 19 และมาตรา 31 พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2521 มาตรา 6 ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา 20 ทวิ และมาตรา 25 ตรี วรรคสอง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำการในเรือในตำแหน่งนายเรือโดยมิได้รับประกาศนียบัตรรับรองความรู้ความสามารถอันถูกต้อง จำคุก 2 เดือน ฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานมีเครื่องตวง เครื่องวัด ซึ่งไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมายไว้ในความครอบครอง จำคุก 6 เดือน ฐานตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 เดือน ฐานปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่าย จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานนำของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร ปรับ 1,439,496 บาท ฐานรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่านำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ปรับ 330,600 บาท รวมจำคุก 5 ปี 3 เดือน และปรับ 1,770,096 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 79 คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน และปรับ 1,180,064 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และมาตรา 30 ในกรณีที่ต้องกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับ 2 ปี ริบของกลางทั้งหมด เฉพาะเครื่องวิทยุคมนาคมให้ริบไว้เพื่อใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบ ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 7 และมาตรา 8
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และมาตรา 80 และมาตรา 83 ปรับ 1,439,496 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ปรับ 959,664 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และมาตรา 30 โดยกักขังแทนค่าปรับ 2 ปี ริบของกลาง ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางหรือค่าปรับตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 7 และมาตรา 8 ริบของกลางทั้งหมดโดยไม่สั่งให้ริบเครื่องวิทยุคมนาคมของกลางไว้เพื่อใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข ยกข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาและโจทก์ไม่ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง จำเลยนำเรือบรรทุกน้ำมันชื่อสกายโอเซี่ยน 3 นำพาน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล 117,414 ลิตร ราคา 352,242 บาท ที่ยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากรแล่นจากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์จะเข้ามายังราชอาณาจักรไทย โดยจำเลยนำเรือบรรทุกน้ำมันดังกล่าวมาจอดลอยลำในทะเล ณ บริเวณหมู่เกาะอาดัง และศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า มีเหตุอันควรสงสัยตามสมควรว่า ที่เกิดเหตุอยู่ในทะเลอาณาเขตอันเป็นเขตราชอาณาจักไทยหรือไม่ ซึ่งต้องฟังให้เป็นผลดีแก่จำเลยว่า จุดที่จำเลยลอยลำเรือนั้นอยู่นอกราชอาณาจักรไทยแต่พันตำรวจตรีสุวัฒน์ ดาบตำรวจวันชัย และสิบตำรวจโทรชัยวัฒน์ ใช้เรือตรวจการของจำเลยน้ำไปจับจำเลยกับพวก ณ จุดดังกล่าวแล้วนำตัวจำเลยกับพวกส่งให้พันตำรวจเอกจงรักษ์ และพันตำรวจโทวีรวิทย์ พนักงานสอบสวน ดำเนินคดีในข้อหาลักลอบนำน้ำมันดีเซลเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาอื่นๆ ตามฟ้องพร้อมเรือบรรทุกน้ำมันสกายโอเซี่ยน 3 น้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล 117,414 ลิตร วิทยุรับส่ง 2 เครื่อง เครื่องมือหาตำแหน่งที่เรือ 2 เครื่อง มิเตอร์ 2 เครื่อง และสายน้ำมันพร้อมหัวจ่าย 4 สาย เป็นของกลาง ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยคงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามนำของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี (น้ำมันดีเซลของกลาง) และยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักรทั้งได้ใช้และมีไว้เพื่อใช้กระทำความผิดซึ่งของกลางตามฟ้อง ข้อหาอื่นพิพากษายกฟ้องและให้ริบของกลางทั้งหมด นั้น แต่เนื่องจากการพยายามกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 มีโทษเช่นเดียวกันกับความผิดสำเร็จ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว…..
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจำเลยมีความรับผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีสุวัฒน์ เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุสายลับรายงานว่าจะมีเรือชื่อสกายโอเซี่ยน 3 บรรทุกน้ำมันจากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มาจำหน่ายให้เรือประมงไทยในบริเวณทะเลอาณาเขตแถวหมู่เกาะอาดัง พยานกับพวกนำเรือตำรวจน้ำไปที่บริเวณหมู่เกาะอาดังพบจำเลยจอดเรือจึงขึ้นไปตรวจค้นพบน้ำมันดีเซลของกลางและของกลางอื่นๆ ต่อมาจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.15 ส่วนสิบตำรวจโทชัยวัฒน์ ผู้ร่วมจับกุมเบิกความยืนยันว่าขณะเข้าจับกุมเห็นจำเลยกับพวกกำลังดึงสายน้ำมันที่บนดาดฟ้าเรือทั้งพบคราบน้ำมันตกอยู่บนพื้นดาดฟ้าเรือกับมิเตอร์และสายจ่ายน้ำมันที่กราบเรือทั้งสองข้างโดยจำเลยให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.15 ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย ป.จ.2 จำเลยให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2539 จำเลยกับพวกนำเรือสกายโอเซี่ยน 3 ไปรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์เพื่อนำมาจำหน่ายให้แก่เรือประมงจากฝั่งทะเลอันดามันตามที่ต่างๆ โดยใช้วิทยุภายในเรือติดต่อนัดพบกัน หลังจากรับน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว จำเลยกับพวกจอดเรือหาซื้อเสบียงอาหารและสิ่งของอื่นๆ ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2539 จำเลยกับพวกออกเรือนำน้ำมันเชื้อเพลิงมาจำหน่ายให้แก่เรือประมงจำนวนหลายลำ จนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับได้ในวันเกิดเหตุ ก่อนเจ้าพนักงานตำรวจจะมาจับจำเลยนั้น จำเลยได้ถ่ายรูปเครื่องหาตำแหน่งที่เรือด้วยระบบดาวเทียมเพื่อแสดงว่าขณะที่จำเลยถูกจับนั้นเรือสกายโอเซี่ยน 3 อยู่ที่บริเวณละติจูด 6 องศา 15 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 58 ลิปดาตะวันออก จากนั้นจำเลยล็อคตำแหน่งที่จอดเรือและปิดเครื่องหาตำแหน่งที่เรือด้วยระบบดาวเทียมเพื่อยืนยันว่า ขณะถูกจับกุมนั้นจำเลยอยู่นอกทะเลอาณาเขตของประเทศไทย เห็นว่า คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนอยู่มาก ทั้งจำเลยให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจหลายวันหากจำเลยไม่สมัครใจให้การแล้วเป็นการยากที่พนักงานสอบสวนจะจัดทำขึ้นได้ ทั้งโจทก์มีพันตำรวจเอกจงรักษ์ และพันตำรวจโทวีรวิทย์ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนร่วมกันเป็นพยานเบิกความรับรองว่า พยานทั้งสองได้สอบสวนจำเลยไว้ตามบันทำคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย ป.จ.2 จริง ส่วนตำแหน่งที่เรือสกายโอเซี่ยน 3 ลอยลำตามที่จำเลยให้การต่อพันตำรวจเอกจงรักษ์และพันตำรวจโทวีรวิทย์ นั้น โจทก์มีร้อยตำรวจเอกประเสริฐ รองสารวัตรผู้ควบคุมเรือประจำกองกำกับการ 5 กองตำรวจน้ำ เป็นพยานเบิกความว่า อาณาเขตประเทศไทยกว้าง 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้สำหรับความกว้างของทะเลอาณาเขตตามประกาศเอกสารหมาย จ.6 และยังมีเขตต่อเนื่องอีก 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตในเขตต่อเนื่องที่ประเทศไทยมีอำนาจดำเนินการเพื่อป้องกันการละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากร ฯลฯ หากมีการกระทำผิดเกี่ยวศุลกากรในเขตต่อเนื่องประเทศไทยมีอำนาจลงโทษตามกฎหมายได้ตามประกาศเอกสารหมาย จ.7 จุดที่จับเรือที่จำเลยลอยลำอยู่ที่บริเวณละตินูด 6 องศา 15 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 58 ลิปดาตะวันออก นี้อยู่ในเขตต่อเนื่อง สำหรับพยานโจทก์ปากนี้จนการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเดินเรือตลอดจนแผนที่และอุปกรณ์การเดินเรือ คำเบิกความของพยานปากนี้เกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งที่เรือสกายโอเซี่ยน 3 ลอยลำในขณะที่มีการจับกุมจำเลยกับพวกจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานโจทก์ทุกปากไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีสาเหตุที่พยานโจทก์จะเบิกความปรักปรำจำเลย ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า เรือสกายโอเซี่ยน 3 อยู่ในน่านน้ำสากลขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยกับพวกและอ้างในฎีกาว่าการจับกุมไม่ชอบเพราะเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้งที่เรียกเงินจากจำเลยไม่ได้ ทำให้การสอบสวนไม่ชอบเพราะใช้หลักฐานจากการจับกุมมาตั้งข้อหาแก่จำเลยเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น เห็นว่า ตัวจำเลยเบิกความรับว่า เครื่องหาตำแหน่งที่เรือด้วยระบบดาวเทียมตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ปรากฏชัดเจนว่าเครื่องหาตำแหน่งที่เรือด้วยระบบดาวเทียมที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากเรือสกายโอเซี่ยน 3 ระบุตัวเลของศาของเส้นละติจูดและเส้นลองจิจูดของตำแหน่งเรือตรงกับแผนที่เอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.10 และบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย ป.จ.2 คงต่างกันที่ตัวเลขจุดทศนิยมสามตัวท้ายเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงโดยพยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บริเวณทะเลจุดที่เกิดเหตุอยู่ในเขตต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีอำนาจตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่จะป้องกันมิให้มีการละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากรได้ ตามเอกสารหมาย จ.7 ปรากฏว่าประเทศไทยได้ประกาศเขตอำนาจในเขตต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2538 แล้ว ดังนั้นในขณะเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจึงมีอำนาจตรวจค้นเรือใดๆ ที่สงสัยว่าจะละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากรและจับกุมผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิดต่อกฎหมายและระเบียบดังกล่าวในทะเลซึ่งเป็นเขตต่อเนื่องได้ การจับกุมจำเลยกับพวกจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตลอดจนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2538 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่า เจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้งจับกุมเพราะเรียกร้องเงินจากจำเลยไม่ได้ นั้น เห็นว่า การจับกุมและการสอบสวนเป็นคนละขั้นตอนกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าคดีนี้มีการสอบสวนไม่ชอบอย่างไร โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง ตามคำเบิกความของจำเลยที่ตอบโจทก์ถามค้านจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยลอยเรือเพื่อให้เรือลำอื่นที่ชักธงชาติไทยมารับช่วงน้ำมันไปจำหน่ายแก่เรือประมงอีกทอดหนึ่งแม้เหตุจะเกิดที่นอกราชอาณาจักรแต่เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักรเพราะเรือที่รับช่วงน้ำมันจะต้องนำน้ำมันของกลางไปจำหน่ายให้แก่เรือประมงที่ทำการประมงในทะเลอาณาเขตซึ่งอยู่ในเขตราชอาณาจักรไทย การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในขั้นพยายามตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่าการพยายามกระทำการใดซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แม้การกระทำนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร ถ้าหากการกระทำนั้นจะได้กระทำตลอดไปจนถึงขั้นความผิดสำเร็จผลจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักรให้ถือว่าการพยายามกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวได้กระทำในราชอาณาจักร เมื่อการพยายามกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและถือเสมือนกับเป็นความผิดสำเร็จโดยมีโทษเช่นเดียวกับความผิดสำเร็จ จำเลยจึงมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษา ส่วนของกลางทั้งหมดตามฟ้องฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้และมีไว้เพื่อใช้กระทำความผิดดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ชอบที่จะสั่งริบของกลางทั้งหมดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน