แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ที่ได้บัญญัติบังคับให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งการละเมิดซึ่งลูกจ้างได้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายนั้น เป็นกรณีที่บุคคลหลายคนจะต้องชำระหนี้ โดยทำนองซึ่งแต่ละคนต้องชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว เจ้าหนี้ชอบจะเรียกให้ชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 291 จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของ ส. เป็นลูกหนี้ร่วมกับ ส. ผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จะเลือกฟ้องจำเลยที่ 1 หรือส. คนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวก็ได้ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจาก ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 426 นั้น ก็ชอบที่จะกระทำได้อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องรอให้โจทก์ฟ้อง ส. ให้รับผิดเสียชั้นหนึ่งก่อนดังนี้ การที่โจทก์ไม่ฟ้อง ส. ผู้ที่ทำละเมิดต่อโจทก์โดยตรง แต่กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นนายจ้างของ ส. ให้รับผิดนั้น จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์และบ้านจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารชุมสายโทรศัพท์อินทามระซึ่งอยู่ติดกับบ้านของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างผู้ควบคุมงานก่อสร้าง เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2531 จำเลยที่ 2 ได้สั่งให้นายสันติ เปล่งวัน ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 รื้อไม้นั่งร้านด้านข้างอาคารที่กำลังก่อสร้างออก แต่นายสันติได้กระทำโดยประมาททำให้เสาเข็มซึ่งใช้ทำนั่งร้านในการก่อสร้างอาคารพลัดตกลงมาถูกหลังคาโรงรถทะลุลงไปกระแทกหลังคารถยนต์ของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ในโรงรถบริเวณหน้าบ้านของโจทก์ เป็นเหตุให้หลังคารถยนต์ยุบบุบเสียหายการกระทำของนายสันติและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้าง และทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายจำนวน 39,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 23 ตุลาคม 2531จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 และนายสันติ เปล่งวันไม่ใช่ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ได้ตกลงว่าจ้างให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็น.ดี.คอนสตรั๊คชั่นเป็นผู้รับเหมาค่าแรงในการก่อสร้างอาคารดังกล่าวตั้งแต่วันที่24 ธันวาคม 2530 จำเลยที่ 2 เป็นผู้คุมงานในการก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็น.ดี.คอนสตรั๊คชั่น การที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้นายสันติทำการรื้อนั่งร้านดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 และนายสันติ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1การที่นายสันติไปทำละเมิดต่อโจทก์นั้นไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2531ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นรับมาข้อเดียวว่า การที่โจทก์ไม่ฟ้องนายสันติผู้ที่ทำละเมิดต่อโจทก์โดยตรง แต่กลับฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างของนายสันติผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ให้รับผิดนั้นเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 บัญญัติว่า นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น เห็นได้ว่ากฎหมายได้บังคับให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนจะต้องชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนต้องชำระหนี้สิ้นเชิง แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียวก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 สำหรับกรณีของจำเลยที่ 1ก็เช่นเดียวกันถือว่าเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกจ้างผู้ทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จะเลือกฟ้องจำเลยที่ 1 หรือลูกจ้างผู้ทำละเมิดคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวก็ย่อมทำได้ หาเป็นการไม่ชอบดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ส่วนการที่จำเลยที่ 1 จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 นั้นก็ทำได้อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องรอให้โจทก์ฟ้องลูกจ้างให้รับผิดเสียก่อน
พิพากษายืน