คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5440-5441/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่เช่าซื้อที่สูญหายไป แต่ให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ จึงเป็นสัญญาเพื่อบุคคลภายนอกอันมีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374,375 และ 376 เมื่อโจทก์ผู้รับประโยชน์ได้เรียกร้องให้บริษัทรับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว เป็นการถือเอาประโยชน์ตามสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยโดยตรงในนามของตนเอง ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ฟ้องผู้รับประกันภัย แต่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง2 ปีเศษ จนขาดอายุความจึงเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เมื่อทะเบียนรถยนต์ที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 เป็นทะเบียนรถยนต์คันที่หายไปจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธินำแผ่นป้ายเลขทะเบียนดังกล่าวมาใช้กับรถยนต์คันที่ตนครอบครองอยู่ แม้จำเลยที่ 1 จะชำระค่าเช่าซื้อต่อไปจนครบทุกงวดก็ไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่กันได้ จำเลยที่ 1 จึงมีเหตุที่จะอ้างไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อจนกว่าโจทก์จะดำเนินการแก้ไขให้จำเลยที่ 1 สามารถใช้และได้รับประโยชน์จากรถยนต์คันที่ครอบครอง และสามารถจดทะเบียนโอนให้แก่กันได้โดยชอบ จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิดด้วย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถที่เช่าซื้อทั้งสองคันคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงินคันละ 500,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าใช้ทรัพย์สำหรับรถยนต์คันที่ 1 เป็นเงิน 256,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 256,000 บาท และร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างสำหรับรถยนต์คันที่ 2 เป็นเงิน 56,888 บาท และค่าใช้ทรัพย์ 160,000บาท รวมเป็นเงิน 216,888 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน216,888 บาท นับแต่วันฟ้องแต่ละสำนวนจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าใช้ทรัพย์เดือนละ 8,000 บาท ต่อคัน จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์หรือชดใช้ราคา กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าติดตามรถยนต์คันละ 2,000 บาท
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด โจทก์มอบอำนาจให้นายพงศธร คุณานุสรณ์ ฟ้องร้องดำเนินคดี นายพงศธรมอบอำนาจช่วงให้นายเจริญ พิชิตลำเค็ญและนายเฉลิมชัย องค์จิระจุฑฒิ์ ดำเนินคดีแทน จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อนิสสัน สีขาว ไปจากโจทก์สองคัน แยกทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อเป็นสองฉบับฉบับแรกลงวันที่ 28 ธันวาคม 2533 เช่าซื้อรถยนต์คันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18เอ็นเอส-เอส 00595 ฉบับที่สอง ลงวันที่ 3 มกราคม 2534 เช่าซื้อรถยนต์คันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00639 ในราคาคันละ 682,656 บาท ข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อเป็นอย่างเดียวกันคือ ต้องชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือนเดือนละ 14,222 บาททุกวันที่ 10 ของเดือน นับแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.17 และ จ.5 ตามลำดับจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ทั้งสองคันไว้กับบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จำนวนเงินจำกัดความรับผิดต่อทรัพย์สินไว้คันละ 500,000 บาท จำเลยที่ 1 รับรถยนต์ทั้งสองคันไปพร้อมกันในวันที่28 ธันวาคม 2533 ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ 29 ธันวาคม 2533 รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อสูญหายไป 1 คัน จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า รถยนต์คันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00595 สูญหายไป แต่ความจริงแล้วรถยนต์คันที่สูญหายคือคันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00639 จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองใช้รถยนต์คันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00595 ตลอดมา โจทก์ดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์คันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00639 ได้ แผ่นป้ายเลขทะเบียน 5 ธ-9845 กรุงเทพมหานคร มอบให้จำเลยที่ 1 นำไปใช้กับรถยนต์หมายเลขเครื่องยนต์ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00595 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อสำหรับรถยนต์คันที่ครอบครองอยู่ให้แก่โจทก์ 9 งวด แล้วเกิดอุบัติเหตุ บริษัทสินมั่นคงประกันภัยจำกัด มาตรวจสอบแล้วไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้อ้างว่ารายละเอียดในการประกันภัยไม่ตรงกัน จำเลยที่ 1 จึงได้ทราบว่าที่แจ้งความร้องทุกข์เรื่องรถยนต์สูญหายไว้นั้นเป็นการแจ้งผิดคัน เพราะคันที่แจ้งว่าสูญหายนั้นกลับเป็นคันที่จำเลยที่ 1 ครอบครองใช้อยู่จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ดำเนินการเปลี่ยนแปลงทะเบียนรถยนต์ให้ถูกต้องเพื่อใช้ได้กับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ครอบครอง แต่โจทก์ไม่ดำเนินการให้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ยอมชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์อีก จำเลยที่ 1 เคยเรียกร้องให้บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด จ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับรถยนต์คันที่สูญหายไปและเคยร้องเรียนต่อกรมการประกันภัยขอให้สั่งบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด จ่ายค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวด้วยแต่บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ไม่จ่ายให้
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปมีว่า การที่โจทก์ไม่ฟ้องผู้รับประกันภัยแต่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง 2 ปีเศษ จนขาดอายุความเป็นความผิดของโจทก์หรือไม่เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่เช่าซื้อทั้งสองคัน แต่ให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ สัญญาดังกล่าวจึงได้ชื่อว่าเป็นสัญญาเพื่อบุคคลภายนอก อันมีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374, 375 และ 376 สิทธิของผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนี้จะเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ผู้รับประกันภัยว่าจะถือประโยชน์จากสัญญานั้นไม่ว่าจะได้แสดงเจตนามาก่อนหรือหลังจากที่ได้เกิดวินาศภัยแล้ว และผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากผู้รับประกันภัยโดยตรงในนามของตนเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้นายเฉลิมชัย องค์จิระวุฑฒ์ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า โจทก์เคยไปติดต่อขอรับเงินในฐานะผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด แต่ปรากฏว่าบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ปฏิเสธไม่ยอมจ่ายให้ อ้างว่าจำเลยที่ 1 ไปแจ้งความร้องทุกข์หลังจากรถหายไปแล้วหลายวัน จากคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์ผู้รับประโยชน์ได้เรียกร้องให้บริษัทรับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วเป็นการถือเอาประโยชน์ตามสัญญา โจทก์ผู้รับประโยชน์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยโดยตรงในนามของตนเอง ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ฟ้องผู้รับประกันภัยแต่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง 2 ปีเศษ จนขาดอายุความจึงเป็นความผิดของโจทก์จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องชดใช้ความเสียหายให้โจทก์
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปมีว่าการที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะดำเนินการแก้ไขทะเบียนรถยนต์ให้ถูกต้อง ทำให้จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่ารถยนต์คันที่จำเลยที่ 1ครอบครองอยู่คือรถยนต์คันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00595 แต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเข้าใจว่าเป็นคันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00639ฝ่ายจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อสำหรับรถยนต์คันที่ครอบครองอยู่รวม 9 งวด ส่วนโจทก์ได้ไปขอจดทะเบียนสำหรับคันหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส-เอส 00639 ได้หมายเลขทะเบียน 5 ธ – 9845 กรุงเทพมหานคร แล้วมอบแผ่นป้ายทะเบียนให้จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปใช้กับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ครอบครองอยู่ ต่อมารถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ครอบครองอยู่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถคนอื่น มีการตรวจสอบหมายเลขเครื่องยนต์ โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงได้ทราบว่ารถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ครอบครองนั้นหมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส – เอส 00595 ไม่ใช่หมายเลขเครื่องยนต์ ซีเอ 18 เอ็นเอส – เอส 00639 ดังนั้น แผ่นป้ายและหมายเลขทะเบียน 5 ธ-9845 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 นั้น จึงใช้กับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ครอบครองอยู่ไม่ได้ จำเลยที่ 1 ได้ให้โจทก์ไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขทะเบียนรถเสียให้ถูกต้องแต่โจทก์ไม่ดำเนินการให้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ต่อไปอีก ดังนี้ จะเห็นได้ว่าทะเบียนรถยนต์ที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 นั้นเป็นทะเบียนรถยนต์คันที่หายไปจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธินำแผ่นป้ายเลขทะเบียนดังกล่าวมาใช้กับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1ครอบครองอยู่ ไม่สามารถใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์คันที่ครอบครองอยู่ได้และแม้จำเลยที่ 1 จะชำระค่าเช่าซื้อต่อไปจนครบทุกงวดก็ไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่กันได้จำเลยที่ 1 จึงมีเหตุที่จะอ้างไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อจนกว่าโจทก์จะได้ดำเนินการแก้ไขให้จำเลยที่ 1 สามารถใช้และได้รับประโยชน์จากรถยนต์คันที่ครอบครอง และสามารถจดทะเบียนโอนให้แก่กันได้โดยชอบ จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิดไปด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองสำนวนชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share