คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2322/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้หลังจากจำเลยเบิกเงินครั้งสุดท้ายแล้วจำเลยไม่ได้นำเงินฝากและไม่ได้เบิกเงินไปและไม่มีการหักทอนบัญชีกัน สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยก็ยังมีอยู่ไม่เลิกกัน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญาตลอดมาจนกว่าจะมีการเลิกสัญญาและหักทอนบัญชีกันแล้ว

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ 84,461บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม2512 จำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์โดยยอมปฏิบัติตามประเพณีนิยมและวิธีปฏิบัติของธนาคารในประเทศไทย ตามเอกสารหมาย จ.2และ จ.3 ต่อมาทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ จำเลยเดินบัญชีเดินสะพัดโดยนำเงินฝากและถอนเงินด้วยการสั่งจ่ายเช็คปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 จ.5 และ จ.6 เมื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2514 จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีเป็นลูกหนี้โจทก์เป็นเงิน 33,471 บาท 69 สตางค์ ต่อจากนั้นจำเลยไม่ได้นำเงินฝากและไม่ได้เบิกเงินไป การคิดดอกเบี้ย โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และทบต้นเป็นรายเดือนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2519 จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์เป็นเงิน65,855 บาท 11 สตางค์ และโจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับจำเลยแล้วคิดดอกเบี้ยไม่ทบต้นมาจนถึงวันฟ้อง

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ควรหักทอนบัญชีภายในกำหนดเวลา 6 เดือน และแจ้งยอดหนี้ให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 858 หรือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2514 แต่โจทก์กลับเพิกเฉยและคิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมาเป็นการไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคสองแม้ภายหลังจากจำเลยเบิกเงินครั้งสุดท้ายแล้วจำเลยไม่ได้นำเงินฝากและไม่ได้เบิกเงินไป และไม่มีการหักทอนบัญชีตามมาตรา 858 สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยก็ยังมีอยู่ไม่เลิกกัน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญาตลอดมาจนกว่าจะมีการเลิกสัญญาและหักทอนบัญชีกันแล้วโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันที่ 30 กันยายน 2519 อันเป็นวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาได้ การคิดดอกเบี้ยทบต้นของโจทก์จึงเป็นการชอบและโจทก์มีอำนาจฟ้อง

ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ตกลงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยไว้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีเป็นการไม่ชอบนั้น จำเลยมิได้ให้การเป็นประเด็นไว้ในศาลชั้นต้นเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา จึงไม่รับวินิจฉัยให้

ที่จำเลยฎีกาว่า ชั้นอุทธรณ์โจทก์หาได้แก้อุทธรณ์ไม่ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์เป็นการไม่ชอบนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยเฉพาะข้อนี้ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เฉพาะค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ จำเลยไม่ต้องใช้ให้โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาทแทนโจทก์”

Share