แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทั้งเก้าเป็นญาติพี่น้องกัน มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของร่วมกันโดยได้รับมรดกมา แล้วต่างก็ครอบครองทำกินกันมาเกิน 10 ปี เมื่อมีการขายที่ดินบางส่วนให้แก่กระทรวงการคลังเพื่อ ประโยชน์ของกรมชลประทานโจทก์จำเลยทุกคนก็ได้รับเงินค่าขายที่ดิน เห็นได้ว่าโจทก์จำเลยต่างครอบครองที่พิพาทร่วมกัน ไม่ใช่เป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ แม้ครอบครองมาเกิน 10 ปีก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามส่วนที่ครอบครอง ต้องแบ่งที่ดินกันตามส่วนที่แต่ละคนมีสิทธิได้รับมรดกมา
จำเลยทั้งเก้าไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะเป็นผู้รับมรดกที่ดินพิพาท เมื่อต่างครอบครองที่พิพาทร่วมกันมาเช่นนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยทั้งเก้าโดยโจทก์ได้รับมรดกจากมารดา เป็นจำนวนเนื้อที่ 26 ไร่ 93.5 วา ขอให้จำเลยทั้ง 9 ไปจดทะเบียนแบ่งที่ดินให้โจทก์ 26 ไร่ 93.5 วา
จำเลยทั้งเก้าให้การและฟ้องแย้งว่า เจ้ามรดกซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมได้ถึงแก่กรรมมาหลายสิบปีแล้ว โจทก์มาขอรับมรดกที่พิพาท จึงขาดอายุความ ที่ดินพิพาทโจทก์จำเลยต่างครอบครองเป็นสัดส่วนโดยสงบเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของมา 40-50 ปีแล้ว โดยโจทก์ครอบครองเพียง 29 ไร่เศษ และต่อมาที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองได้ถูกแบ่งเป็นทางหลวงกับเพื่อประโยชน์ของกรมชลประทานไป 10 ไร่เศษ ส่วนของโจทก์จึงเหลือเพียง 19 ไร่เศษ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทให้จำเลยตามส่วนที่จำเลยแต่ละคนได้ครอบครอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์จำเลยต่างเข้าถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทร่วมกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 จำเลยทั้งเก้าจึงมิได้ครอบครองปกปักษ์เป็นส่วนสัดและที่ดินที่ถูกตัดเป็นทางหลวง 10 ไร่นั้น โจทก์จำเลยทั้งเก้าต่างตกลงขายให้แก่กระทรวงการคลังไป จำเลยทั้งเก้าจะเอาส่วนที่ร่วมกันขายมาคิดหักในส่วนของโจทก์ไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินให้จำเลยทั้งเก้าตามฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้โจทก์ได้ที่ดินเนื้อที่ 26 ไร่ 93.5 วาตามฟ้อง
จำเลยทั้งเก้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งเก้าฎีกาว่าจำเลยทั้งเก้าครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัดของแต่ละคนโดยมีคันนาเป็นแนวเขตแน่นอน ครอบครองมาเกิน 10 ปีแล้ว โดยเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของย่อมได้กรรมสิทธิ์ในส่วนที่ครอบครองโดยปรปักษ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นญาติพี่น้องกัน มีชื่อในโฉนดร่วมกัน ต่างก็ครอบครองทำกินกันมา มีการจดทะเบียนแก้สารบาญโฉนดพิพาทแต่ละครั้งจนกระทั่งครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2516 ก็คงมีชื่อโจทก์และจำเลยทั้งเก้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันอยู่ เห็นว่า แต่ละคนก็ยอมรับรู้ในที่พิพาทส่วนของโจทก์ตลอดมา เมื่อมีการขายที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังเพื่อตัดเป็นถนนโจทก์จำเลยทุกคนก็ได้รับเงินมาแบ่งกัน เห็นได้ว่าโจทก์จำเลยต่างครอบครองที่พิพาทร่วมกันไม่ใช่เป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ เมื่อเป็นการครอบครองร่วมกันมาเช่นนี้ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ต้องแบ่งที่พิพาทกันตามส่วนที่แต่ละคนมีสิทธิได้รับมรดก
พิพากษายืน