คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ปลูกตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ 1 แล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1.โดยจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้มาขอเช่าตึกได้. และจำเลยที่1 จะทำสัญญาเช่าให้มีกำหนดสิบปี. เมื่อโจทก์เข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 2 และเสียเงินค่าก่อสร้างตึกให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว. สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ย่อมเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จดทะเบียนการเช่าได้ตามสัญญา. (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1135/2506)
แม้จำเลยที่ 1 จะไม่เป็นคู่สัญญากับโจทก์.แต่ตามสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสอง. จำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ได้. การชำระหนี้ที่จำเลยที่1ต้องปฏิบัติตามสัญญากับจำเลยที่ 2 นี้ เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่โจทก์. หรือ นัยหนึ่งโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสอง.ด้วยการที่จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์เช่าตึกเป็นการตอบแทนตามสิทธิของโจทก์ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 นั้นด้วย. จำเลยที่ 1 จึงต้องจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ลงทุนก่อสร้างตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทน มีสิทธิเรียกและรับเงินค่าก่อสร้างจากผู้จองการเช่าหรือผู้เช่าตึกนั้นได้โจทก์ที่ 1 ได้ทำสัญญาจองการเช่าตึกเลขที่ 275-277 โดยตกลงค่าจองการเช่าเป็นเงิน 95,000 บาท ชำระแล้ว 88,000 บาท ที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนการเช่า โจทก์ได้เข้าพักอาศัยในตึกแล้ว โจทก์ที่ 1ยอมให้โจทก์ที่ 2 เข้าทำสัญญาในฐานะผู้เช่ากับจำเลยที่ 1 และได้ร้องขอจดทะเบียนการเช่าต่ออำเภอ แต่แล้วจำเลยที่ 1 กลับไม่ยอมทำสัญญา อ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่ชำระเงินค่ารื้อถอนและค่าเช่าที่ค้างจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองทำสัญญาและจดทะเบียนการเช่าตึกดังกล่าวให้โจทก์มีกำหนดสิบปี ถ้าไม่อาจทำได้ ให้คืนเงินค่าจองและค่าที่โจทก์ตบแต่งเพิ่มเติมพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเช่าตึก การที่จำเลยที่ 1 ไม่จดทะเบียนการเช่าให้ เป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ 2 ที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์ และให้โจทก์ชำระค่าเช่า โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนการเช่าตึกพิพาทให้โจทก์มีกำหนดสิบปี หากไม่อาจกระทำได้ ให้จำเลยที่ 2 คืนเงิน88,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 โจทก์ฎีกา ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่า จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2ปลูกตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ 1 แล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้มาขอเช่าตึกแถวได้ แล้วจำเลยที่ 1 จะทำสัญญาเช่าให้มีกำหนดสิบปี โจทก์ได้เสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้จำเลยที่ 2 แล้ว88,000 บาท คงเหลืออีก 7,000 บาท จะชำระในวันจดทะเบียนการเช่า โจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดสิบปีที่อำเภอแล้ว แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับใจไม่ยอมจดทะเบียน อ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ชำระเงินค่าเช่าที่ค้าง มีปัญหาว่า โจทก์ที่ 2 จะมีสิทธิบังคับให้จดทะเบียนการเช่าตึกสิบปีได้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้เสียเงินค่าก่อสร้างตึกพิพาทแก่จำเลยที่ 2 เพื่อปลูกสร้างอาคารขึ้นบนที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 สัญญากับจำเลยที่ 2 ว่า เมื่อปลูกตึกแล้ว ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้มาขอเช่าตึกได้เช่นนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จดทะเบียนการเช่าได้ตามสัญญาดังนัยฎีกาที่ 1135/2506 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่เป็นคู่สัญญากับโจทก์ตามข้อตกลงนี้ด้วยก็ตาม แต่ตามสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ดังกล่าวข้างต้นได้ การชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตามสัญญากับจำเลยที่ 2 นี้ เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ หรือนัยหนึ่งโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญา ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ด้วยการที่จำเลยที่ 1ยอมให้โจทก์เช่าอาคารเป็นการตอบแทน ตามสิทธิของโจทก์ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 นั้นด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องจดทะเบียนการเช่าให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ.

Share