คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5440/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อมิได้มีการพิจารณาคดีโดยขาดนัดคำร้องของจำเลยทั้งสองมิใช่เป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา205วรรคสอง การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่โดยอ้างว่าเสมียนทนายจำเลยทั้งสองจดวันนัดผิดนั้นหากเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองขาดการเอาใจใส่การพิจารณาคดีของศาลไม่ใช่เหตุที่ยกขึ้นมาอ้างเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนใหม่ คำร้องของจำเลยทั้งสองที่ขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาอีกโดยขอให้นัดไต่สวนคำร้องใหม่โดยมิได้ดำเนินการสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา156วรรคหนึ่งจึงมิใช่คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ทั้งกรณีของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอดำเนินคดีอนาถาในชั้นอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองโดยมิได้มีการสืบพยานจำเลยทั้งสองเลยแม้แต่ปากเดียวกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่หาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าหากจำเลยทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน7วันนับแต่วันนี้เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฎิบัติตามคำสั่งดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 590,972.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 478,080.87 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 11พฤศจิกายน 2537 ถึงวันนัดทนายจำเลยทั้งสองมอบอำนาจให้เสมียนทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนการไต่สวนคำร้องอ้างเหตุทนายจำเลยทั้งสองป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนนัดไต่สวนคำร้องไปเป็นวันที่ 23 ธันวาคม 2537 เวลา 9 นาฬิกา จำเลยทั้งสองไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองไม่ติดใจดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาหากจำเลยทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องลงวันที่ 23 ธันวาคม 2537 เวลา14.21 นาฬิกา ว่าจำเลยทั้งสองไม่มาศาลตามกำหนดนัดเนื่องจากเสมียนทนายจำเลยทั้งสองจดวันนัด (ที่ถูกเวลานัด) ผิดพลาดเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา จึงขอให้ไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองอ้างว่าเสมียนทนายจำเลยทั้งสองที่มาขอเลื่อนคดีจดวันนัด (ที่ถูกเวลานัด) ผิดพลาดไปนั้น เป็นเหตุอันไม่สมควร จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 30 ธันวาคม 2537จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาอีกโดยให้นัดไต่สวนคำร้องใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ว่า เสนอวันนี้ กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง พร้อมทั้งสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในวันเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่งจึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์ คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ 23 ธันวาคม 2537 ซึ่งจำเลยทั้งสองขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า คำร้องฉบับดังกล่าวของจำเลยทั้งสอง มิใช่เป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสองดังที่จำเลยทั้งสองอ้าง เพราะมิได้มีการพิจารณาคดีโดยขาดนัดและการที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ โดยอ้างว่าเสมียนทนายจำเลยทั้งสองจดวันนัดผิดนั้น หากเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองขาดการเอาใจใส่การพิจารณาคดีของศาล ไม่ใช่เหตุที่ยกขึ้นมาอ้างเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนใหม่
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องลงวันที่30 ธันวาคม 2537 ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสี่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า คำร้องฉบับดังกล่าวของจำเลยทั้งสองมีข้อความในทำนองเดียวกับคำร้องฉบับลงวันที่ 23 ธันวาคม 2537 โดยมิได้ดำเนินการสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 156 วรรคหนึ่งจึงมิใช่คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ ทั้งกรณีของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอดำเนินคดีอนาถาในชั้นอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองโดยมิได้มีการสืบพยานจำเลยทั้งสองเลยแม้แต่ปากเดียว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสี่ จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นในพิจารณาคำร้องนั้นใหม่ หาได้ไม่ จำเลยทั้งสองต้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 156 วรรคห้า
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ว่า จำเลยทั้งสองไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลภายในเวลาที่ศาลกำหนดจึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเพราะกระบวนพิจารณาเรื่องอนาถายังไม่ถึงที่สุดขอให้รอการสั่งไว้ก่อนนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 23 ธันวาคม 2537 ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่า หากจำเลยทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน 7 วันนับแต่วันนี้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฎิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน

Share