คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7033/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งห้าได้มอบหมายให้โจทก์ที่1และที่2กับฉ.ดำเนินการทำสัญญาแบ่งคืนทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมโจทก์ทั้งห้าจึงต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวจะกลับมาโต้แย้งว่าโจทก์ที่3ถึงที่5มิได้มอบอำนาจเป็นหนังสือไม่ผูกพันโจทก์ที่3ถึงที่5ไม่ได้และข้อความตามสัญญาแบ่งคืนทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมกับบันทึกต่อท้ายมีลักษณะเป็นการที่คู่ความตกลงระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งคืนทรัพย์สินของห้างทั้งหมดให้เสร็จสิ้นไปโดยให้ทรัพย์สินนอกเหนือจากที่ปรากฎในสัญญาเป็นของผู้ใดในขณะทำสัญญาก็คงให้เป็นของผู้นั้นสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850และโจทก์ทั้งห้าต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวดังนั้นจึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองตกลงให้จัดการทรัพย์สินโดยวิธีอื่นในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันไม่จำต้องชำระบัญชีกันอีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1061

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2508 โจทก์ทั้งห้ากับจำเลยทั้งสองตกลงร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนดำเนินกิจการขนส่งทางบกในปี 2515 ห้างมีรถยนต์บรรทุกสิบล้อ 6 คัน ใส่ชื่อโจทก์ที่ 2และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของแทนห้าง และมีที่ดินโฉนดเลขที่ 18968ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์แทนห้าง และหุ้นส่วนทั้งเจ็ดตกลงให้จดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเป่งพาณิชย์โดยให้โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการดำเนินกิจการซึ่งห้างทั้งสองดำเนินกิจการระคนปนกันต่อมาห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนซื้อที่ดินอีก 6 โฉนด เลขที่13891 ถึง 13896 ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐมและห้างทั้งสองได้ซื้อและเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อเพิ่มรวม30 กว่าคัน ระหว่างปี 2525 ถึงปี 2528 ห้างขาดทุนจึงจดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด เป่งพาณิชยเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สินปี 2529 ห้างหุ้นส่วนจำกัดเป่งพาณิช โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1ถูกเจ้าหนี้ฟ้องคดีนำยึดที่ดินทั้งเจ็ดโฉนด จงมีการประชุมหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน และมีข้อตกลงว่าโจทก์ทั้งห้าจะหาเงินมาชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินแล้วจำเลยทั้งสองจะโอนที่ดินทั้งเจ็ดโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งห้าจำเลยทั้งสองรับซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อที่เหลืออยู่ 3 คัน ไปดำเนินกิจการเองฝ่ายเดียว โดยให้โจทก์ทั้งห้ารบซื้อหุ้นของจำเลยทั้งสองไว้ทั้งหมดและจำเลยทั้งสองขอผัดผ่อนไปชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนในปี 2532 กับขออาศัยอยู่ในที่ดินถึงปี 2532 ปลายปี2532 โจทก์ทั้งห้าชำระหนี้หมดสิ้นจึงเรียกให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินทั้งเจ็ดโฉนดและร่วมกันชำระบัญชี แต่จำเลยทั้งสองบ่ายเบี่ยงและให้พันตำรวจโทวรเวทย์ วินิตเนตยานนท์ ช่วยไกล่เกลี่ยจนตกลงทำสัญญาแบ่งคืนทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยทั้งสอง ต่อมาจำเลยทั้งสองได้โอนที่ดิน5 โฉนด ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 แล้ว แต่ที่ดินอีก 2 โฉนดซึ่งต้องรังวัดแบ่งแยกได้เกิดปัญหาพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งห้าจึงขอบอกเลิกสัญญาดังกล่าว และขอให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดิน 2 โฉนด ให้แก่โจทก์และชำระบัญชี แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทั้งยังฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1602/2534 จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกับโจทก์ทั้งห้าชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเพื่อแบ่งปันทุนทรัพย์สินและคิดกำไรขาดทุน หากไม่สามารถปฏิบัติได้ขอให้แต่งตั้งจ่าศาลจังหวัดนครปฐมเป็นผู้ชำระบัญชีแทน
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ที่กล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบกิจการเมื่อปี 2508 ไม่เป็นความจริงเดิมจำเลยทั้งสองประกอบกิจการรถยนต์บรรทุกสิบล้อ มีรถ 3 คันและที่ดิน 2 แปลงโฉนดเลขที่ 1389 (ที่ถูกคือ 13891) และ 18968ตำบลลำพยา อำเภอเมือง นครปฐม จังหวัดนครปฐม ต่อมาปี 2515โจทก์ที่ 2 มาช่วยเหลือกิจการและได้จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดเป่งพาณิช มีโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนแต่กิจการขาดทุนจึงจดทะเบียนเลิกห้าง และตกลงกันให้จัดการทรัพย์สินโดยวิธีอื่นในระหว่างหุ้นส่วน กล่าวคือ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2533 โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกตกลงแบ่งคืนทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างหุ้นส่วนและยังมีการทำบันทึกด้านหลังบันทึกดังกล่าวโดยตกลงโดยตกลงเพิ่มเติมอีกว่า ในเรื่องทรัพย์ที่มีปัญหาทั้งหมดให้เป็นอันยุติจะไม่ฟ้องร้องกันซึ่งผูกพันคู่สัญญา และเมื่อเลิกห้างกับได้จัดการทรัพย์สินแล้ว โดยไม่มีทรัพย์สินอื่นต้องแบ่งกันจึงไม่ต้องชำระบัญชีอีก โจทก์ที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ไม่เคยเข้ามาเป็นหุ้นส่วน จำเลยทั้งสองไปปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวถูกต้องแล้วแต่โจทก์ที่ 2 บิดพลิ้วอ้างจุดแบ่งแยกที่ดินผิดไปจากข้อตกลงและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตขออายัดที่ดินและ บอกเลิกสัญญาหรือบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ จำเลยทั้งสองจึงฟ้องโจทก์เพื่อให้ปฏิบัติตามสัญญาตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1602/2534โจทก์ทั้งห้าได้ฟ้องแย้งซึ่งมีประเด็นสืบเนื่องมาจากมูลกรณีเดียวกัน ในเรื่องแบ่งทรัพย์สินพิพาทระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคำฟ้องแย้ง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ ทั้ง ห้า อุปกรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ทั้ง ห้า ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งห้ากับจำเลยทั้งสองเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน โจทก์ทั้งห้ากับจำเลยทั้งสองได้ตกลงให้มีการเลิกห้างดังกล่าวแล้ว โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาแบ่งคืนทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนตามเอกสารหมาย จ.27 หรือ ล.2 ที่มีสาระสำคัญว่า(1) ที่ดินโฉนดเลขที่ 13891 ถึง 13895 รวม 5 แปลง ให้กรรมสิทธิ์ตกแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2(2) ที่ดินโฉนดเลขที่ 18968, 18969 รวม2 แปลง ให้ตกแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1โดยให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์จากหัวมุมของที่ดินซึ่งติดกับถนนสาธารณประโยชน์นับจากด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกกว้าง 12 เมตร ส่วนด้านยาวขนาดกับแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกยาวตลอดไปทางทิศใต้จนจดสุดแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 13896ส่วนที่เหลือตกได้แก่จำเลยที่ 1 และบันทึกต่อท้ายเอกสารหมาย ล.2ระบุว่าเรื่องทรัพย์ที่มีปัญหาทั้งหมดเป็นอันยุติทุกประการ จะไม่มีการฟ้องร้องด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น หากหุ้นส่วนคนอื่นมีปัญหาจะไม่ให้มีการเรียกร้องอย่างใด ๆ อีกทั้งสิ้นและข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งห้าได้มอบหมายให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2กับนายเฉลิมสิทธิดำเนินการทำสัญญาแบ่งคืนทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวม ตามเอกสารหมาย จ.27 โจทก์ทั้งห้าจึงต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวจะกลับมาโต้แย้งว่า โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 5 มิได้มอบอำนาจเป็นหนังสือไม่ผูกพันโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ได้ และข้อความตามสัญญาแบ่งคืนทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมตามเอกสารหมาย จ.27กับบันทึกต่อท้ายเอกสารหมาย ล.2 มีลักษณะเป็นการที่คู่ความตกลงระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งคืนทรัพย์สินของห้างทั้งหมดให้เสร็จสิ้นไป โดยให้ทรัพย์สินนอกเหนือจากที่ปรากฎในสัญญาเป็นของผู้ใดในขณะทำสัญญาก็คงให้เป็นของผู้นั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850และโจทก์ทั้งห้าต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว ฉะนั้นจึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองตกลงให้จัดการทรัพย์สินโดยวิธีอื่นในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน ไม่จำต้องชำระบัญชีกันอีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1061
พิพากษายืน

Share