คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5435/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีความผิดฐานรับของโจร โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจาก การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครอง รถจักรยานยนต์ของกลางนั้นจำเลยก็ต้องนำสืบว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของ ที่ได้มาจากการกระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335(1), 357

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานรับของโจร

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัย “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่ โจทก์มีนายดาบตำรวจชลอ กองแก้ว ผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายสืบหารถจักรยานยนต์ที่ถูกลักไปเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 24 มิถุนายน 2541 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ผู้เสียหายได้ไปราชการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนจอดอยู่ที่ลานจอดรถจักรยานยนต์ ผู้เสียหายได้เฝ้าอยู่จนเวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยเดินมาที่รถจักรยานยนต์ ล้วงเอาลูกกุญแจขึ้นมาขึ้นนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์แล้วเสียกุญแจลงในช่องกุญแจ จำเลยเข็นรถจักรยานยนต์ถอยหลังออกจากที่จอดพร้อมทั้งติดเครื่องยนต์ ผู้เสียหายจึงเข้าไปขวางและสอบถามจำเลยว่าได้รถจักรยานยนต์มาอย่างไร จำเลยแจ้งว่าได้นำรถจักรยานยนต์มาจากเพื่อนซึ่งอยู่ดอนเมือง ผู้เสียหายจึงแจ้งว่ารถจักรยานยนต์เป็นของผู้เสียหาย ซึ่งแจ้งหายไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน และชี้ให้จ่าสิบตำรวจบุญยืน บุญศรี ซึ่งไปกับผู้เสียหายจับกุมจำเลย และผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า หลังจากที่ผู้เสียหายได้สอบถามจำเลยเรื่องการนำรถจักรยานยนต์มา ภายหลังจำเลยแจ้งว่าได้นำรถจักรยานยนต์มาจากสิบตำรวจโทราเมทร์ ผดุงเจริญ ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยรู้จักสิบตำรวจโทราเมทร์ในฐานเพื่อนร่วมงาน สิบตำรวจโทราเมทร์บอกจำเลยว่าจะหารถจักรยานยนต์มาให้จำเลยใช้ เมื่อจำเลยย้ายมาอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามแล้วมีความจำเป็นต้องใช้รถ สิบตำรวจโทราเมทร์จึงให้จำเลยยืมรถจักรยานยนต์ จำเลยไปรับรถจักรยานยนต์ที่ที่พักของสิบตำรวจโทราเมทร์ที่แฟลตของกรมตำรวจ ซอยเฉลิมลาภ เขตพญาไท สิบตำรวจโทราเมทร์บอกว่ารถจักรยานยนต์เป็นของญาติให้ยืมมาใช้ แต่ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว เนื่องจากมีรถอีกคันหนึ่ง จำเลยเห็นรถจักรยานยนต์จอดอยู่ใต้ถุนมีสภาพฝุ่นเกาะเก่าแล้ว แต่ใช้งานได้ตามปกติ ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนมิได้ติดอยู่ที่รถจักรยานยนต์ สิบตำรวจโทราเมทร์บอกกับจำเลยว่าได้ถอดเก็บไว้เนื่องจากชำรุด ไม่มีแผ่นป้ายวงกลม เหตุที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์มาใช้เพราะเชื่อในตัวสิบตำรวจโทราเมทร์ซึ่งเป็นตำรวจรุ่นพี่มีความสนิทสนมกันว่ารถจักรยานยนต์มิใช่รถจักรยานยนต์ที่ได้มาจากการกระทำผิดจำเลยพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักภายในธนาคารแห่งประเทศไทย จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ไปกลับจากที่ทำงานและปฏิบัติหน้าที่ทุกวัน และได้จอดไว้ในบริเวณลานจอดรถที่เปิดเผยของสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม และตอนเลิกงานนำไปจอดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอันเป็นที่พักของจำเลย ในวันที่ผู้เสียหายมายืนขวางหน้ารถและถามจำเลยว่า รถของจำเลยหรือ จำเลยตอบว่าไม่ใช่รถของจำเลย เป็นรถของเพื่อนและถามว่าทำไมเหรอ ผู้เสียหายตอบว่าเป็นรถของผู้เสียหาย ต่อจากนั้นจำเลยได้บอกชื่อเพื่อนคือสิบตำรวจโทราเมทร์ซึ่งรับราชการอยู่กองปราบปราม แต่ผู้เสียหายตอบว่าไม่รู้จักและบอกว่าอยากรู้จักให้จำเลยไปยืนยันว่าได้รับรถมาจริงหรือเปล่า จำเลยบอกว่าทำงานอยู่ที่กองปราบและจะชี้ตัวให้ดูจึงได้ขับรถจักรยานยนต์พร้อมด้วยผู้เสียหายมาที่กองปราบปราม ไปถึงกองปราบปรามปรากฏว่าสิบตำรวจโทราเมทร์ถูกกักขังเพราะทำผิดวินัย จำเลยจึงชี้ให้ดูแล้วผู้เสียหายได้เดินไปคุยกับสิบตำรวจโทราเมทร์ โดยให้จำเลยรออยู่ด้านนอก ดังนี้เห็นว่า เมื่อผู้เสียหายสอบถามเรื่องรถจักรยานยนต์กับจำเลย จำเลยก็ตอบในทันทีว่าได้ยืมรถจักรยานยนต์มาจากสิบตำรวจโทราเมทร์ และจำเลยยังได้พาผู้เสียหายไปพบสิบตำรวจโทราเมทร์ที่กองปราบปรามอีกด้วย การที่จำเลยตอบผู้เสียหายในทันทีที่ผู้เสียหายสอบถาม แสดงว่าจำเลยไม่มีเวลาแต่งเรื่องขึ้นมาน่าเชื่อว่าจำเลยพูดความจริงกับผู้เสียหาย ทั้งจำเลยยังพาผู้เสียหายไปพบสิบตำรวจโทราเมทร์ที่กองปราบปรามอีกด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยได้ขอยืมรถจักรยานยนต์ของกลางจากสิบตำรวจโทราเมทร์จริง ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าเมื่อผู้เสียหายออกมาบอกว่าสิบตำรวจโทราเมทร์บอกว่าไม่รู้จักจำเลยก็ดี และที่ร้อยตำรวจโทยุทธการ จันทร์แก้ว พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยซักค้านว่าได้เรียกตัวสิบตำรวจโทราเมทร์มาสอบสวนในคดีด้วยโดยสิบตำรวจโทราเมทร์ให้การว่า รู้จักจำเลยแต่ไม่ถึงกับสนิทสนมมากนัก และมิใช่เป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จำเลยยืม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์อ้างสิบตำรวจโทราเมทร์มาเบิกความต่อศาล จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พฤติการณ์ที่จำเลยยืมรถจักรยานยนต์ของกลางจากสิบตำรวจโทราเมทร์มาใช้ แม้รถจักรยานยนต์จะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนอันเป็นการผิดกฎหมาย แต่จำเลยก็ได้ใช้อย่างเปิดเผยระหว่างสถานีตำรวจชนะสงครามซึ่งเป็นที่ทำงานและบ้านพักในธนาคารแห่งประเทศไทยของจำเลย การที่จำเลยครอบครองใช้รถจักรยานยนต์ของกลางที่ขอยืมมาจากสิบตำรวจโทราเมทร์โดยไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์มาจากสิบตำรวจโทราเมทร์โดยรู้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อพยานโจทก์ไม่ได้ความใด ๆ มากไปกว่านี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีความผิดฐานรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น จำเลยก็ต้องนำสืบว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด กรณีของจำเลยนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางตามฟ้องไว้จากผู้อื่นโดยรู้ว่าเป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ พยานโจทก์จึงยังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share