แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โฉนดที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์และจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เมื่อมีข้อโต้แย้งถึงสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 3กับโจทก์ จำเลยที่ 3 หาได้ถูกปิดปากมิให้ยกข้อเถียงตามความเป็นจริงที่ว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นแทนจำเลยที่ 3 ไม่และการที่จำเลยที่ 3 นำสืบพยานบุคคลว่าโจทก์ผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 นั้น หาใช่เป็นการนำสืบในข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำหนังสือตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่แต่เป็นการนำสืบพยานบุคคลในข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3ในกรณีตัวแทนอีกส่วนหนึ่ง จึงมิใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารที่กฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือแต่ประการใด จำเลยที่ 3 มีพยานบุคคล และพยานเอกสารประกอบกับนำสืบให้เห็นถึงพฤติกรรมการซื้อที่ดินของจำเลยที่ 3 หลายแปลงรวมทั้งที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาท เป็นการหักล้างข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1373 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1969ให้โจทก์จำนวนหนึ่งในสี่ หรือจำนวน 6 ไร่ 1 งาน 5 ตารางวา หากโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงแบ่งที่ดินไม่ได้ หรือการแบ่งแยกไม่อาจกระทำได้ด้วยประการใด ๆ ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์หนึ่งในสี่ส่วน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ซื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว และให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแทนไว้ส่วนหนึ่ง จำเลยที่ 1 มิใช่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อ 2512 จำเลยที่ 3เป็นผู้ซื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียว แต่เนื่องจากขณะนั้นมีกระแสข่าวว่าทางราชการจะออกกฎหมายจำกัดสิทธิการถือครองที่ดิน จำเลยที่ 3 เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง จึงขอร้องให้จำเลยที่ 2 นายฟองและโจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนไว้บางส่วนครั้นปี 2522 จำเลยที่ 3 เรียกคืนจากนายฟอง แล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1แทน ต่อมาจำเลยที่ 3 ขอให้ผู้มีชื่อรวมทั้งโจทก์โอนคืนที่ดินหลายครั้ง แต่โจทก์ขอผัดผ่อนเรื่อยมา โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 3 แบ่งแยก ขอให้ยกฟ้อง และให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ใส่ชื่อแทนคืนจำเลยที่ 3 ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 เคลือบคลุมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และมีสิทธิครอบครองที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 3 ด้วย จำเลยที่ 3 เพิ่งโต้แย้งว่าโจทก์มิได้มีส่วนเป็นเจ้าของภายหลังที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวขอแบ่งแยกที่ดินจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาทคืนจำเลยที่ 3 หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1969 ให้โจทก์จำนวน 1 ใน 4 ของที่ดินทั้งแปลง หากการแบ่งแยกไม่อาจตกลงกันได้หรือไม่อาจกระทำได้ให้นำที่ดินแปลงตามโฉนดดังกล่าวออกขายทอดตลาด แล้วแบ่งเงินให้โจทก์1 ใน 4 ส่วน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยที่ 3 มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท แล้ววินิจฉัยว่า เมื่อมีข้อโต้แย้งถึงสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 3 กับโจทก์จำเลยที่ 3 หาถูกปิดปากมิให้ยกข้อเถียงตามความเป็นจริงที่ว่าโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นแทนจำเลยที่ 3 ไม่ และการที่จำเลยที่ 3 นำสืบพยานบุคคลว่าโจทก์ผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 นั้น หาใช่เป็นการนำสืบในข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำหนังสือตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้นไม่ แต่เป็นการนำสืบพยานบุคคลในข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ในกรณีตัวแทนอีกส่วนหนึ่ง จึงมิใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารที่กฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือแต่ประการใด ดังที่โจทก์แก้ฎีกามาจำเลยที่ 3 มีพยานบุคคลและพยานเอกสารประกอบกับนำสืบให้เห็นถึงพฤติกรรมการซื้อที่ดินของจำเลยที่ 3 เป็นจำนวนหลายแปลงรวมทั้งที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาทด้วยว่า จำเลยที่ 3 หวั่นวิตกในการถือครองที่ดินจำนวนมากจากกระแสข่าวที่อาจมีกฎหมายออกมาบังคับจำกัดการถือสิทธิในที่ดิน จึงได้กระจายให้พี่น้องกับบุคคลที่สนิทสนมและที่ไว้วางใจกันถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทน ซึ่งเป็นการหักล้างข้อสันนิษฐานตาม มาตรา 1373 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้ว่า การที่โจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทนั้น เป็นการถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยที่ 3
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น