แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยนำรถยนต์มาประกันภัยกับโจทก์แล้วค้างชำระเบี้ยประกันภัย แต่ปรากฏว่าในสำเนากรมธรรม์ประกันภัยทั้ง 5 ฉบับที่โจทก์อ้างส่งต่อศาล ไม่มีลายมือชื่อจำเลยหรือตัวแทนจำเลยโจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำรถยนต์ 5 คัน มาประกันภัยกับโจทก์อายุสัญญาประกันภัย 1 ปี ทุนประกันเป็นเงินคันละ 480,000 บาทอัตราเบี้ยประกันภัยเป็นเงินคันละ 23,999 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว สัญญากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ทั้ง 5 คันจึงมีผลยกเลิกการคุ้มครองจำเลยต้องชำระเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์สำหรับระยะเวลาที่สัญญาประกันภัยมีผลคุ้มครอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 113,698 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยนำรถยนต์มาประกันภัยกับโจทก์ แล้วค้างชำระเบี้ยประกันภัยโดยโจทก์นำสืบพยานบุคคลปากเดียว ประกอบกับเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งปรากฏว่าในสำเนากรมธรรม์ประกันภัยทั้ง 5 ฉบับ ที่โจทก์ส่งอ้างต่อศาล ไม่มีลายมือชื่อจำเลยหรือลายมือชื่อตัวแทนของจำเลยอยู่เลยและไม่ปรากฏว่าโจทก์มีเอกสารอื่นใดที่เป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้เอาประกันภัย ฉะนั้น โจทก์จึงไม่อาจจะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน