แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัยไทยและให้อนุญาโตตุลาการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหรือยกคำเสนอข้อพิพาท จึงเป็นคำร้องขอให้บังคับตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วเป็นกรณีอยู่ในบังคับต้องอุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาตามที่ มาตรา 45 วรรคสอง บัญญัติไว้ การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์ฉบับแรกต่อศาลอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับอุทธรณ์ฉบับแรกและส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาจึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวไว้วินิจฉัยแล้วจำหน่ายอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งอุทธรณ์ฉบับแรกให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้นยังไม่ถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วการที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นใหม่เป็นฉบับที่สองและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ฉบับที่สองของผู้ร้องที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์นับแต่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่ชอบเช่นกัน กรณีจึงต้องยกอุทธรณ์ฉบับที่สองของผู้ร้อง เมื่อสำนวนคดีนี้มาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์ดังกล่าวของผู้ร้องมายังศาลฎีกาอีก
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัยไทย และให้อนุญาโตตุลาการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหรือยกคำเสนอข้อพิพาท
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องไว้วินิจฉัย ให้จำหน่ายอุทธรณ์ของผู้ร้อง คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ฉบับที่สอง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัยไทย และให้อนุญาโตตุลาการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหรือยกคำเสนอข้อพิพาท จึงเป็นคำร้องขอให้บังคับตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว เป็นกรณีอยู่ในบังคับต้องอุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาตามที่มาตรา 45 วรรคสอง บัญญัติไว้ การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์ฉบับแรกต่อศาลอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับอุทธรณ์ฉบับแรกและส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาจึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวไว้วินิจฉัยแล้วจำหน่ายอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งอุทธรณ์ฉบับแรกให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้นยังไม่ถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นใหม่เป็นฉบับที่สองและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ฉบับที่สองของผู้ร้องที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์นับแต่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่ชอบเช่นกัน กรณีจึงต้องยกอุทธรณ์ฉบับที่สองของผู้ร้อง เมื่อสำนวนคดีนี้มาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์ดังกล่าวของผู้ร้องมายังศาลฎีกาอีก
สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เว้นแต่ (1) การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (2) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไม่ตรงกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ (4) ผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งพิจารณาคดีนั้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ในคำพิพากษา หรือ (5) เป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยการใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่พิพาทตามมาตรา 16 พิเคราะห์แล้ว คดีนี้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยรับฟังตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่นายอัมพรแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าขณะเกิดเหตุได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บธ 1923 สระบุรี ถอยหลังเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่ขับโดยนายแหนง โดยรับฟังประกอบข้อมูลประกันภัยรถยนต์ที่ระบุตรงกันว่ารถยนต์คันที่นายอัมพรแจ้งดังกล่าวเอาประกันภัยไว้กับผู้ร้อง และอนุญาโตตุลาการฟังว่าบันทึกถ้อยคำที่นายอัมพรให้ไว้แก่พนักงานของผู้ร้องเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 อ้างว่ารถที่เกิดเหตุหมายเลขทะเบียน บธ 1923 ลพบุรี นั้นเป็นการให้ถ้อยคำหลังเกิดเหตุเกือบ 2 ปี ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพราะอาจปรุงแต่งขึ้นได้ ส่วนศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาและคำชี้ขาดดังกล่าวของอนุญาโตตุลาการไม่ปรากฏว่าผิดพลาดไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนี้ การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอ้างข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านละเลยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อได้รับแจ้งข้อมูลจากผู้ร้องก็ดี ผู้คัดค้านไม่สุจริตโดยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากบริษัทส่งเสริมประกันภัย จำกัด เพราะเป็นผู้อยู่ระหว่างถูกระงับการทำธุรกรรมก็ดี ผู้ร้องมีหลักฐานเป็นบันทึกถ้อยคำของนายอัมพรที่ให้ข้อเท็จจริงใหม่ก็ดี ผู้ร้องไม่ได้ละเลยการขอแก้ไขรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีกรณีชื่อจังหวัดของทะเบียนรถก็ดี อนุญาโตตุลาการและศาลชั้นต้นไม่รับฟังพยานหลักฐานของผู้ร้องเป็นการไม่ชอบก็ดีนั้น ล้วนเป็นการโต้แย้งการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและดุลพินิจในการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนของอนุญาโตตุลาการและศาลชั้นต้น โดยคดีไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยคดีผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่อย่างใด อุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องจึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ฉบับแรกของผู้ร้องไว้วินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ทั้งสองฉบับของผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งสองฉบับทั้งหมดแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ