แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ทรัพย์ที่พิพาทกันทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจะเป็นทรัพย์ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็ตาม แต่โจทก์และจำเลยอาศัยมูลเหตุให้ใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อให้ปฏิบัติตามฟ้องและฟ้องแย้งต่างกัน กล่าวคือโจทก์อาศัยเหตุจากการที่เจ้าของที่ดินเดิมปลูกสร้างกันสาดและพื้นคอนกรีตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยโดยสุจริตและจำเลยขัดขวางการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขอให้จำเลยรื้อถอนทรัพย์สินและจดทะเบียนภารจำยอม ส่วนจำเลยอาศัยเหตุจากการที่โจทก์ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญอันเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยโดยตรง ขอให้รื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไป ประเด็นในคดีตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้งต่างกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิมของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนแผ่นเหล็กและหลังคาที่ปิดกั้นออกไป และให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 7242 เฉพาะส่วนด้านทิศตะวันตกที่ถูกรุกล้ำแก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 16735 โดยโจทก์ยอมเสียค่าใช้ที่ดินตามสมควร
จำเลยให้การและฟ้องแย้งให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเครื่องอุปกรณ์ดังกล่าว รวมทั้งรื้อก๊อกน้ำและสิ่งกีดขวางด้านหน้าประตูเข้าออกด้วย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมขอให้ยกฟ้องแย้ง
วันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคนละส่วนกับฟ้องโจทก์ ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องแย้งและมีคำสั่งใหม่ว่า ไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน คืนค่าธรรมเนียมศาลในส่วนฟ้องแย้งให้จำเลยทั้งหมด
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายพนม งามกาละ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 7242เมื่อประมาณปี 2513 นายพนมปลูกตึกแถว 3 ชั้น จำนวน 5 ห้อง บนที่ดินดังกล่าว แล้วต่อมาปี 2522 ได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 6 แปลงทำให้กันสาดและพื้นคอนกรีตด้านข้างด้านทิศตะวันออกของตึกแถวเลขที่ 960/25 ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 16735 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวและที่ดินที่แบ่งแยกดังกล่าว ยื่นล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 7242 ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 28 มีนาคม2538 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวดังกล่าว โดยซื้อจากนายสมพงษ์ ทองสาธิต แล้วโจทก์ก็ได้ใช้ประโยชน์ในส่วนกันสาดและพื้นด้านล่างของตึกมาโดยตลอด ต่อมาประมาณต้นเดือนเมษายน 2541จำเลยและบริวารนำแผ่นเหล็กและทำหลังคาปิดกั้นไว้เป็นการกีดขวางการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ส่วนที่เป็นกันสาดและพื้นด้านล่างของตึกแถวห้องดังกล่าวด้านทิศตะวันออก เป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวได้ โจทก์ได้ที่ดินและตึกแถวห้องดังกล่าวมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างตึกแถวห้องดังกล่าวจึงมีสิทธิใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยในส่วนกันสาดและพื้นด้านล่างของตึกที่รุกล้ำเข้าไปนั้นได้ ที่ดินของจำเลยที่ถูกรุกล้ำดังกล่าวตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ในส่วนที่รุกล้ำนั้นด้วย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อแผ่นเหล็ก ประตูปิดเปิดทางเข้าออกของจำเลยเพื่อโจทก์จะใช้ประโยชน์กองวัสดุก่อสร้างที่โจทก์ขาย เป็นการใช้สิทธิผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ทั้งโจทก์สร้างท่อระบายน้ำทิ้งที่กันสาดชั้นที่ 1ด้านทิศตะวันออกลงมายังหลังคาโครงเหล็กของจำเลย นำเครื่องปรับอากาศ2 เครื่อง มาวางตั้งบนกันสาดชั้นที่ 1 และที่ 2 ชั้นละ 1 เครื่อง ทำที่ระบายอากาศออกจากผนังตึกจากห้องครัวมาในที่ของจำเลยทำบันไดหนีไฟจากดาดฟ้าลงมาในที่ดินของจำเลย และอื่น ๆ นั้น เห็นว่า แม้ทรัพย์ที่พิพาทกันทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจะเป็นทรัพย์ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็ตาม แต่มูลเหตุให้ใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อให้ปฏิบัติตามฟ้องและฟ้องแย้งนั้นโจทก์จำเลยต่างอาศัยมูลเหตุต่างกัน กล่าวคือ โจทก์อาศัยเหตุจากการที่เจ้าของที่ดินเดิมปลูกสร้างกันสาดและพื้นคอนกรีตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยโดยสุจริตและจำเลยขัดขวางการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขอให้จำเลยรื้อถอนทรัพย์สินและจดทะเบียนภารจำยอม ส่วนจำเลยอาศัยเหตุจากการที่โจทก์ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญอันเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยโดยตรง ขอให้รื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไป ประเด็นในคดีตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจึงต่างกันทั้งเป็นเรื่องต่างคนต่างทำต่อกันลักษณะของการกระทำไม่เกี่ยวข้องกันข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่รับฟังก็เป็นคนละส่วนกันไม่มีความเกี่ยวพันกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิมของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน