คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาแล้วสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวจนเสร็จ จำเลยจึงมาศาลและยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ขณะอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา ซึ่งก็คืออยู่ระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียวจึงล่วงเลยขั้นตอนที่จำเลยจะยื่นคำร้องเช่นนั้นได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 แล้ว สิ่งที่จำเลยพึงกระทำในตอนนั้น คือการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสอง แล้วจึงจะเชื่อมโยงไปบังคับเรื่องขออนุญาตยื่นคำให้การ ตามมาตรา 199 ต่อไป จริงอยู่การที่จำเลยไม่ทราบว่าศาลสืบพยานโจทก์ในการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวเสร็จไปแล้ว จำเลยจึงยื่นคำร้องผิดขั้นตอน เป็นเรื่องน่าเห็นใจ แต่เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นได้สั่งคำร้องนั้นชัดเจนว่า ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและพิจารณาคดีฝ่ายเดียวไปจนเสร็จสิ้นแล้วพร้อมทั้งมีคำพิพากษา คำสั่งศาลเช่นนี้ย่อมช่วยให้จำเลยทราบขั้นตอนของกระบวนพิจารณาที่ผ่านไปแล้ว และจำเลยสามารถที่จะยื่นคำร้องขอเสียใหม่ให้ตรงตามเรื่อง แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ จำเลยกลับยื่นอุทธรณ์ฎีกายืนยันให้รับคำร้องที่ข้ามขั้นตอนนั้นไว้พิจารณา เมื่อคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยขั้นตอน ศาลจึงไม่อาจรับไว้พิจารณาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,336,908.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,282,823.60 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

วันนัดสืบพยานโจทก์ วันที่ 8 กันยายน 2541 จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา และสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 8 ตุลาคม 2541 เวลา 13 นาฬิกา ครั้นวันที่ 5 ตุลาคม 2541จำเลยยื่นคำร้องว่า มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขออนุญาตยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2541 ว่า ศาลมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาและพิจารณาคดีฝ่ายเดียวไปจนเสร็จสิ้นแล้ว เหตุตามคำร้องก็มิใช่เหตุอันสมควร ไม่ปรากฏว่าจำเลยย้ายไปดำเนินกิจการที่ใดปิดประกาศแจ้งไว้หรือไม่ ยกคำร้อง และพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,324,265.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,282,823.60 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์เรื่องขออนุญาตยื่นคำให้การ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นอกจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นยังได้มีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวจนเสร็จ หลังจากนั้นจำเลยจึงมาศาลและยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยขณะนั้นอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา ซึ่งก็คืออยู่ระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียวดังนี้ เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ เป็นขณะที่ล่วงเลยขั้นตอนที่จำเลยจะยื่นคำร้องเช่นนั้นได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 แล้ว ดังนั้น สิ่งที่จำเลยพึงกระทำในตอนนั้น คือการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสองแล้วจึงจะเชื่อมโยงไปบังคับเรื่องขออนุญาตยื่นคำให้การ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 ต่อไป จริงอยู่ตามคำแถลงของจำเลยลงวันที่ 23 กันยายน 2541 ที่ขอคัดถ่ายเอกสารจำเลยระบุว่าศาลนัดฟังคำสั่งคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาวันที่ 8 ตุลาคม 2541 ทั้งที่ตามความจริงศาลนัดฟังคำพิพากษาแสดงว่าจำเลยไม่ทราบว่าศาลสืบพยานโจทก์ในการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวเสร็จไปแล้ว จำเลยจึงยื่นคำร้องผิดขั้นตอน เป็นเรื่องน่าเห็นใจ แต่เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลได้สั่งคำร้องนั้นชัดเจนว่า ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา และพิจารณาคดีฝ่ายเดียวไปจนเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมทั้งมีคำพิพากษา คำสั่งศาลเช่นนี้ย่อมช่วยให้จำเลยทราบขั้นตอนของกระบวนพิจารณาที่ผ่านไปแล้ว และจำเลยสามารถที่จะยื่นคำร้องขอเสียใหม่ให้ตรงตามเรื่อง แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ จำเลยกลับยื่นอุทธรณ์ฎีกายืนยันให้รับคำร้องที่ข้ามขั้นตอนนั้นไว้พิจารณา ในเมื่อคำร้องของจำเลยฉบับนี้เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยขั้นตอนแล้ว ก็ไม่อาจรับไว้พิจารณาได้

พิพากษายืน

Share