แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ++
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ การวินิจฉัยปัญหานี้จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
การที่จำเลยผิดสัญญาไม่ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินในวันที่กำหนดตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ความเสียหายของโจทก์ผู้จะซื้อย่อมเกิดขึ้นแล้วนับแต่วันนั้นวันออกเช็คตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4คือวันที่ลงในเช็ค แม้จำเลยเขียนเช็คและมอบเช็คให้แก่โจทก์ในวันที่จำเลยได้ตกลงชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ วันออกเช็คคือวันอันเป็นวันที่ลงในเช็ค เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ให้ลงโทษจำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังในเบื้องต้นได้ว่า เมื่อวันที่๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘ จำเลยทำสัญญาจะซื้อที่ดินจากโจทก์ โดยวางเงินมัดจำและชำระราคาบางส่วนแล้ว กำหนดชำระราคาที่ดินที่เหลือทั้งหมดและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ต่อมาวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ โจทก์และจำเลยตกลงเลื่อนวันชำระราคาที่ดินที่เหลือและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันไปเป็นวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๙โดยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินขึ้นใหม่ และจำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงินจำนวน๔๗๕,๙๒๐ บาท ลงวันที่สั่งจ่ายวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ แก่โจทก์ เมื่อถึงวันที่ ๑๘ตุลาคม ๒๕๓๙ โจทก์และจำเลยไม่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จะซื้อขายกัน และโจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า “ลายมือชื่อไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้กับธนาคาร”
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ แต่การวินิจฉัยปัญหานี้จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อการใดซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนโจทก์มีตัวโจทก์ นายลักษณ์ พุ่มสารี และนางกิมเลี้ยง พุ่มเจริญ เบิกความเป็นพยานทำนองเดียวกันว่า วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ จำเลยและภริยาของจำเลยมาติดต่อกับโจทก์บอกว่ามีเงินไม่พอรับโอนที่ดินสองแปลง ขอรับโอนที่ดินแปลงของนางกิมเลี้ยงพี่สาวโจทก์ก่อน ส่วนที่ดินของโจทก์นั้นจำเลยขอเลื่อนการโอนไปอีก ๓ เดือน โดยจำเลยยินยอมจะใช้ค่าเสียหายให้ โจทก์ยินยอม ในวันเดียวกันจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนพระรามที่ ๒ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ จำนวนเงิน๔๗๕,๙๒๐ บาท เพื่อชำระหนี้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โดยคิดจากราคาที่ดินที่เหลือเป็นดอกเบี้ย ๓ เดือน ในอัตราร้อยละ ๑.๕๐ บาท ต่อเดือน เห็นว่า โจทก์เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายที่ดินกับจำเลย นางกิมเลี้ยงก็เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายที่ดินกับภริยาจำเลยโดยนายลักษณ์เป็นพยานที่ลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำทุกฉบับ จึงย่อมจะรู้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวสอดคล้องกับสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ ประกอบกับเมื่อคิดคำนวณค่าเสียหายในอัตราร้อยละ ๑.๕๐ ต่อเดือน เป็นเวลา ๓ เดือน ของราคาที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน ๑๐,๕๗๖,๐๐๐ บาท ตามสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.๒ แล้ว จะได้เงินจำนวน ๔๗๕,๙๒๐ บาท เท่ากับจำนวนเงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๔ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง และเชื่อว่าจำเลยได้ตรวจสอบที่ดินและพอใจจะซื้อที่ดินตามสภาพที่เป็นอยู่ หากจำเลยเห็นว่าที่ดินไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ และประสงค์จะซื้อที่ดินในสภาพที่ออกสู่ทางสาธารณะได้จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ก็น่าจะต้องระบุเงื่อนไขดังกล่าวไว้ในสัญญาโดยชัดแจ้ง แต่สัญญาดังกล่าวกลับไม่มีข้อความระบุว่าโจทก์จะต้องดำเนินการให้ที่ดินออกสู่ทางสาธารณะ นอกจากนั้นยังปรากฏว่าภริยาจำเลยยอมรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงของนางกิมเลี้ยงโดยมิได้โต้แย้งส่วนจำเลยก็ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินหรือสัญญาวางมัดจำฉบับใหม่กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๓ เลื่อนวันรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินออกไปอีก ๓ เดือน พร้อมทั้งออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๔ มอบให้โจทก์ ซึ่งหากโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยและภริยาจำเลยไม่น่าที่จะปฏิบัติเช่นนั้น และจำเลยก็น่าจะระบุเงื่อนไขเรื่องทางออกสู่ทางสาธารณะไว้ในสัญญาที่ทำขึ้นใหม่ตามเอกสารหมาย จ.๓ แต่ก็ไม่ปรากฏข้อความดังกล่าว ข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๔ เพื่อชำระหนี้ค่าเสียหายที่ไม่สามารถไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.๒
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า การออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๔ดังกล่าว เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่เห็นว่า การที่จำเลยไม่ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินในวันที่กำหนดตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.๒ นั้น ความเสียหายของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นแล้วนับแต่วันนั้น มิใช่เกิดเมื่อครบกำหนดในวันที่ระบุตามสัญญาจะซื้อขายหรือวางมัดจำเอกสารหมาย จ.๓ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ส่วนวันออกเช็คตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ นั้นคือวันที่ลงในเช็ค วันที่เขียนเช็คหาใช่วันออกเช็คไม่ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังเป็นยุติว่า จำเลยเขียนเช็คและมอบเช็คให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยได้ตกลงชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพราะไม่สามารถไปรับจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่วินิจฉัยข้างต้นอยู่แล้วแต่วันดังกล่าวก็มิใช่วันออกเช็ค วันออกเช็คคือวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๙ อันเป็นวันที่ลงในเช็ค ดังนั้น เช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.๔ จึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้องแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ให้ลงโทษจำคุก ๔ เดือน.