คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5578/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อร่างกาย
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 6 หน้า 216 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++

ย่อยาว

เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อร่างกาย
จำเลย ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๑๙ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
ศาลฎีกา รับวันที่ ๒๔ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีดปลายแหลมและไม้เป็นอาวุธแทงและตีนายอุไร พรมณีย์หลายครั้งโดยเจตนาฆ่า และใช้ไม้ตีสิบเอกสุนัน จิตรมั่น จนเป็นเหตุให้นายอุไรถึงแก่ความตาย และสิบเอกสุนันได้รับอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๐เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้ นำส่งพนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ให้จำคุก ๑ ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ จำคุก ๒๐ ปี และฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๑ ปีรวมโทษจำคุก ๒๑ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๕ นายอุไร พรมณีย์ ผู้ตาย สิบเอกสุนัน จิตรมั่น ผู้เสียหาย และนายพิชัย พรมณีย์ น้องผู้ตาย ซึ่งทำงานเป็นช่างตกแต่งภายในที่หมู่บ้านนิคโฮม ดื่มสุราอยู่ที่หน้าบ้านเลขที่ ๗๗/๖๖หมู่บ้านยูนิคโฮม แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ส่วนจำเลยนายสันติ ทองตัน นายแก่น รื่นรัมย์ นายคำแสน ลานประโคน นายชาญไม่ทราบนามสกุล ทุกคนทำงานเป็นช่างก่อสร้างอยู่ที่หมู่บ้านยูนิคโฮมดื่มสุราอยู่ที่ร้านค้าอยู่ห่างจากผู้ตายกับพวกดื่มสุราประมาณ ๑๐ เมตรต่อมาผู้ตายและผู้เสียหายเดินไปซื้อบุหรี่ที่ร้านค้าที่จำเลยกับพวกนั่งดื่มสุราอยู่จำเลยใช้ไม้หน้าสามตีที่ศีรษะผู้เสียหาย ๒ ครั้ง จนผู้เสียหายสลบล้มลงส่วนนายแก่นได้ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายที่ท้อง ๒ ครั้ง ผู้ตายวิ่งกลับมาที่บ้านโดยมีจำเลย นายสันติ นายคำแสนถือไม้หน้าสามและนายแก่นถือมีดไล่ตามมาเมื่อทันกันพวกของจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายหลายครั้ง ส่วนนายแก่นใช้มีดแทงผู้ตายอีกหลายครั้งจนถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยกับพวกหลบหนีไป
จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลย นายแก่น นายสันตินายคำเผือ และนายชาญดื่มสุราที่หมู่บ้านยูนิคโฮม ขณะดื่มสุราผู้ตายและผู้เสียหายมาชวนนายชาญให้ไปร่วมดื่มสุรากับผู้ตาย นายชาญ นายแก่นนายสันติ และนายคำเผือจึงไปดื่มสุรากับผู้ตายและผู้เสียหาย จำเลยนั่งดื่มสุราอยู่คนเดียว ต่อมาเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา มีเรื่องทำร้ายร่างกายกันระหว่างนายชาญกับพวกผู้ตาย จำเลยจึงไปนอนในบ้านวันรุ่งขึ้นจำเลยเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดบุรีรัมย์ จนวันที่ ๑๙ กันยายน๒๕๔๐ จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยใช้ไม้หน้าสามเป็นอาวุธตีผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กาย ส่วนนายแก่นได้ใช้มีดเป็นอาวุธแทงผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนี นายแก่นถืออาวุธมีดส่วนจำเลยกับพวกถือไม้หน้าสามไล่ตามไป เมื่อทันกันพวกของจำเลยใช้ไม้หน้าสามตีผู้ตายหลายครั้ง และนายแก่นใช้มีดเป็นอาวุธแทงผู้ตายอีกหลายครั้งจนผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไป มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตาย ผู้เสียหายและจำเลยกับพวกเป็นช่างก่อสร้างที่หมู่บ้านยูนิคโฮมทุกคนรู้จักกัน ก่อนจะเกิดเหตุฆ่าและทำร้ายกันจะต้องมีเหตุกระทบกระทั่งไม่พอใจกัน ซึ่งโจทก์มีพันตำรวจเอกสุรพงษ์ กายทวารพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า ได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุสอบถามพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ได้ความว่า ผู้ตายได้มาชวนนายชาญซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่กับจำเลยกับพวกให้ไปดื่มสุรากับผู้ตาย ผู้เสียหายและนายพิชัยโดยพูดกระทบกระเทียบว่าพวกผู้ตายดื่มสุราแดง ส่วนจำเลยกับพวกดื่มสุราธรรมดา ผู้ตายชวนนายชาญเพียงผู้เดียว ทำให้จำเลยกับพวกไม่พอใจเกิดโต้เถียงกัน ต่อมาผู้ตายและผู้เสียหายเดินมาที่จำเลยกับพวกดื่มสุรากันอยู่อีกจึงเกิดการทำร้ายกัน เชื่อว่าเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากคำพูดกระทบกระเทียบของผู้ตาย คำพูดดังกล่าวไม่ได้พูดเจาะจงผู้ใดเป็นการพูดลอย ๆ ทำให้จำเลยกับพวกทุกคนเกิดความไม่พอใจ และเป็นความไม่พอใจเป็นส่วนตัวของแต่ละคน เห็นว่า การกระทำอันจะถือว่าร่วมกันกระทำนั้นนอกจากร่วมกันในส่วนของการกระทำแล้ว ยังต้องมีเจตนาร่วมกันด้วย แต่จากทางนำสืบของโจทก์ได้ความเพียงว่า คำพูดของผู้ตายทำให้จำเลยกับพวกทุกคนเกิดความไม่พอใจซึ่งเป็นความไม่พอใจของแต่ละคน ทำให้ทุกคนโกรธและเจตนาทำร้ายต่อผู้ตายเหมือนกัน กรณีเป็นเรื่องต่างคนต่างทำร้ายผู้ตาย ไม่ใช่เกิดจากเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำร้ายผู้ตายแต่อย่างใดพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วยังไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุก และโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดเหมาะสมดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share