คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หากผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมี น.ส.3 ร่วมกันได้แบ่งกันครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดแล้ว ความตกลงดังกล่าวย่อมผูกมัดจำเลยและผู้ร้องทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ผู้ร้องทั้งสองและจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินตามส่วนสัดที่แบ่งกันครอบครองมาโจทก์ซึ่งเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญมีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินนั้น ไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนของผู้ร้องทั้งสองมาขายทอดตลาดได้ ถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิอื่น ๆ อันอาจร้องขอให้บังคับเหนือที่ดินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิดังกล่าวของผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองย่อมมีสิทธิขอให้กันที่ดินส่วนที่ผู้ร้องทั้งสองครอบครองนั้นก่อนนำที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 หรือเป็นกรณีการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์20,000 บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลย 2 แปลงตาม น.ส.3 เลขที่ 43 และเลขที่ 5จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 5 ซึ่งมีเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวานั้น เป็นของผู้ร้องที่ 1เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 83 ตารางวาเป็นของจำเลยเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน83 ตารางวา และเป็นของผู้ร้องที่ 2 เนื้อที่ 10 ไร่ โดยต่างได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเลื่อนการขายทอดตลาดไปก่อน หรือมีคำสั่งให้ขายเฉพาะส่วนของจำเลยและกันส่วนของผู้ร้องทั้งสอง โดยยกเลิกการขายทอดตลาดที่ดินเฉพาะส่วนของผู้ร้องทั้งสองเสีย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบหรือไม่ คดีนี้ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอกันส่วนที่ดินในวันที่ 27 กันยายน 2534ศาลชั้นต้นสั่งนัดพิจารณาคำร้องขอกันส่วนที่ดินของผู้ร้องทั้งสองในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2534 แต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2534เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงวันที่17 ตุลาคม 2534 ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินเฉพาะส่วนของผู้ร้องทั้งสอง โดยอ้างว่าผู้ร้องทั้งสองได้แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่า ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอกันส่วนที่ดินของผู้ร้องทั้งสองในวันที่ 4พฤศจิกายน 2534 แล้ว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีกลับมีคำสั่งให้ขายทอดตลาด และขายไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาจริงมาก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้อง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในวันที่ 2ธันวาคม 2534 ซึ่งปรากฏว่าในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2534 ผู้ร้องทั้งสองขอเลื่อนคดีขอกันส่วนที่ดิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปนัดพิจารณาในวันที่ 6 ธันวาคม 2534 และปรากฏว่าในวันที่ 2 ธันวาคม 2534 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องเกินระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ให้ยกคำร้องและในวันที่ 6 ธันวาคม 2534 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขอกันส่วนที่ดินของผู้ร้องทั้งสองว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดไว้ด้วย ซึ่งในที่สุดศาลมีคำสั่งยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและคำร้องของผู้ร้องทั้งสองนี้เป็นการร้องว่าที่ดินที่มีการขายทอดตลาดไปแล้วนั้นเป็นของผู้ร้องทั้งสองซึ่งครอบครองเป็นส่วนสัดจึงเป็นการร้องขัดทรัพย์ในส่วนที่ดินของผู้ร้องทั้งสองว่ามิใช่ของจำเลย ไม่อาจนำไปขายทอดตลาดได้ แต่คำร้องของผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นไว้ในเรื่องขอกันส่วน จึงทำให้เกิดผิดหลง ดังนั้นการพิจารณาหาได้ความตามที่ผู้ร้องทั้งสองอ้าง ย่อมไม่เป็นผลเพราะที่ดินได้ขายทอดตลาดและโอนให้ผู้ซื้อเสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับไม่อาจร้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดดังกล่าวได้ จึงให้ยกคำร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมี น.ส.3 หากผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยได้แบ่งกันครอบครองเป็นส่วนสัดตามคำร้องแล้ว ความตกลงที่ให้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดย่อมผูกมัดจำเลยและผู้ร้องทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ผู้ร้องทั้งสองและจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินตามส่วนสัดที่แบ่งกันครอบครองมานั้น โจทก์เป็นแต่เพียงเจ้าหนี้สามัญจึงมีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินนั้น ไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนของผู้ร้องทั้งสองมาขายทอดตลาดได้ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิอื่น ๆ อันอาจร้องขอให้บังคับเหนือที่ดินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิดังกล่าวของผู้ร้องทั้งสองผู้ร้องทั้งสองย่อมมีสิทธิที่จะขอให้กันที่ดินส่วนที่ผู้ร้องทั้งสองครอบครองนั้นก่อนนำที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดได้ คำร้องของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นเรื่องการร้องขอให้กันส่วนที่ดินของผู้ร้องทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287โดยมิได้ขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด หรือเป็นกรณีการร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share