คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5407/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกจากที่ดิน ในฐานะเป็นบริการของ ส. เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของ ส. โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ในฐานละเมิดสิทธิในที่ดินของโจทก์ประเด็นแห่งคดีต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ธรณีสงฆ์วัดโลห์สุทธาวาสต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2523 วัดโลห์สุทธาวาสทำหนังสือยินยอมให้โจทก์นำที่ดินดังกล่าวออกให้เช่าช่วงได้ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2523 โจทก์ทำสัญญาให้นายสำราญเตรียมวิจารณ์กุล เช่าช่วงมีกำหนด 5 ปี นายสำราญตกลงจะปลูกสร้างอาคารบนที่ดินและยอมให้อาคารดังกล่าวตกเป็นของโจทก์เมื่อครบกำหนดสัญญา ภายหลังทำสัญญาแล้วนายสำราญได้ปลูกสร้างอาคารเลขที่ 131 พร้อมสร้างปั๊มน้ำมันลงบนที่ดินด้วย ต่อมาประมาณกลางปี 2524 นายสำราญได้ขายปั๊มน้ำมันพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่เช่าช่วงจากโจทก์ให้แก่จำเลยภายหลังครบกำหนดเช่าช่วงแล้วโจทก์ไม่ประสงค์จะให้นายสำราญเช่าช่วงและอาศัยอยู่ในที่ดินอีกต่อไป จึงได้แจ้งให้นายสำราญออกจากที่ดิน แต่นายสำราญเพิกเฉย โจทก์ได้ฟ้องให้นายสำราญและบริวารออกจากที่ดินต่อศาลจังหวัดอ่างทอง ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2529คดีหมายเลขแดงที่ 304/2529 ซึ่งศาลจังหวัดอ่างทองได้พิพากษาให้นายสำราญและบริวารออกจากที่ดินและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินด้วย ในชั้นบังคับคดีนายสำราญได้มาแถลงต่อศาลว่าตนเองได้ย้ายออกจากที่ดินแล้วตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2529โจทก์แถลงต่อศาลว่าจำเลยยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะบริวารของนายสำราญ ศาลได้ไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของอาคารสิ่งปลูกสร้างมิได้เข้าไปอยู่ในฐานะบริวารของนายสำราญ ทำให้โจทก์ไม่สามารถอาศัยสิทธิในคดีดังกล่าวบังคับให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้ เมื่อทราบคำสั่งศาลแล้ว โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยก็ยังคงเพิกเฉย และอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ การที่จำเลยยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยที่จำเลยไม่มีสิทธิ อีกทั้งจำเลยกับโจทก์ก็ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันจึงเป็นการอาศัยอยู่โดยละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่ดินพิพาทดังกล่าวนี้หากนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงจะได้ค่าเช่าเดือนละประมาณ 2,000 บาทจำเลยละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2529 ซึ่งเป็นวันที่ศาลจังหวัดอ่างทองมีคำพิพากษาให้นายสำราญออกจากที่ดินพิพาทถึงวันฟ้องเป็นเวลารวม 5 เดือน 12 วัน เป็นค่าเสียหาย 10,800 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินให้โจทก์ จำนวน 10,800 บาทพร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย โดยให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์นับถัดจากวันฟ้องไปอีกเดือนละ2,000 บาท จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยฟ้องขับไล่นายสำราญและบริวารออกจากที่ดินพิพาทคดีนี้ ศาลจังหวัดอ่างทองได้พิพากษาขับไล่นายสำราญและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแล้ว ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 304/2529 ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวนายสำราญได้ขายอาคารซึ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเมื่อศาลพิพากษาขับไล่นายสำราญแล้ว จำเลยได้เข้าไปอาศัยประกอบการค้าในอาคารดังกล่าว โจทก์มายื่นคำร้องอ้างว่าจำเลยเป็นบริวารของนายสำราญ ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของอาคาร ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2530 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง คดียังไม่ถึงที่สุด หากฟังได้ตามที่โจทก์อุทธรณ์โจทก์ก็สามารถบังคับให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าวได้อยู่แล้ว ขณะที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้อง เมื่อคดีเดิมยังไม่ถึงที่สุดจึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างออกไป โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 1,500 บาทนับแต่วันที่ 13 กันยายน 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินพิพาท คำขอนอกจากนี้ให้ยกจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาข้อหลังของจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 304/2529 ของศาลจังหวัดอ่างทองที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ในคดีดังกล่าวโจทก์ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทในฐานะเป็นบริวารของนายสำราญ เตรียมวิจารณ์กุลเมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนายสำราญโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ ในฐานละเมิดสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์ ดังนั้นประเด็นแห่งคดีต่างกัน ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่า หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share