แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะรื้อฟื้นเอาคำพิพากษาในคดีอาญาถึงที่สุดแล้วมาเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องอาศัยอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง และมาตรา 3
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 12 ถึง 16 ได้บัญญัติเรื่องวิธีการเพื่อความปลอดภัยไว้และได้มี มาตรา41 บัญญัติถึงเงื่อนไขในการที่จะกักกันไว้ด้วยซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 มาตรา8,9. ต้องนำบทบัญญัติ มาตรา 41 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่บัญญัติภายหลังเป็นคุณแก่จำเลยมาใช้บังคับ
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2497 จำคุกจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ ตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 297 และเพิ่มโทษตาม มาตรา 73 กึ่งหนึ่ง จำคุก 3 ปีกับให้กักกันตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 มาตรา 8, 9 อีก 3 ปี คดีเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 18 เม.ย. 2500 ผู้อำนวยการสถานกักกันจังหวัดนครปฐมหนังสือแจ้งต่อศาลชั้นต้นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ได้ยกเลิกและแก้ไขโทษตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 จำเลยจึงควรได้รับผลตามประมวลกฎหมายอาญา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยพ้นจากการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2
โจทก์อุทธรณ์ว่าประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้ยกเลิก พระราชบัญญัติกักกันฯพ.ศ. 2479 และคดีเด็ดขาดถึงที่สุด ศาลจะรื้อฟื้นเอาคำพิพากษามาเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว จะรื้อฟื้นเอาคำพิพากษามาเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่นั้น ทำได้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 2 และ ม. 3 ส่วนปัญหาว่าศาลจะบังคับคดีไปตามเดิมหรือยกเลิกการกักกันนั้น วินิจฉัยว่าคดีเข้าอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 12 ถึง 16 อันว่าด้วยวิธีการเพื่อความปลอดภัย เดิมศาลพิพากษากักกันจำเลยตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 โดยจำเลยต้องโทษมาแล้ว 2 ครั้ง แล้วมากระทำความผิดอันเป็นเหตุร้ายซ้ำอีก แต่ปรากฏว่าโทษที่จำเลยได้รับในครั้งแรกนั้นจำเลยมีอายุไม่เกิน 17 ปี และกำหนดโทษจำคุกเพียง 3 เดือนซึ่งเงื่อนไขในการที่ให้กักกันได้ถูกเปลี่ยนแปลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 อันต้องประกอบกับผู้กระทำผิดเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้วหรือเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง และกระทำในขณะที่มีอายุเกิน 17 ปีด้วยตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังเป็นคุณแก่จำเลยจึงเป็นการสมควรที่จะยกเลิกการกักกัน พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์