แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ขายได้นำตั๋วเงินที่โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคารในประเทศจ่ายให้แก่ผู้ขายไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายตามตั๋วเงินโดยโจทก์รับภาระชำระเงินส่วนหนึ่งให้แก่ธนาคารในต่างประเทศเนื่องจากการขายลดนั้นเงินที่โจทก์ส่งออกไปให้ธนาคารในต่างประเทศดังกล่าวแม้เดิมโจทก์จะเจตนาให้เป็นค่าสินค้าที่โจทก์ซื้อจากผู้ขายในต่างประเทศก็ตามแต่เมื่อผู้ขายได้นำตั๋วเงินที่โจทก์ต้องชำระไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศเสียแล้วธนาคารในต่างประเทศจึงเป็นผู้ที่จะได้รับเงินที่โจทก์จะต้องชำระนั้นต่อไปหาใช่ผู้ขายสินค้าอีกไม่เงินส่วนที่ธนาคารในต่างประเทศได้จากโจทก์เนื่องจากการขายลดตั๋วเงินของผู้ขายดังกล่าวจึงเป็นเงินได้ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับดอกเบี้ยตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ในมาตรา40(4)(ก)และเป็นเงินที่จ่ายจากประเทศไทยโจทก์ผู้จ่ายจึงต้องมีหน้าที่หักภาษีเงินได้นำส่งจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา70วรรคแรกแม้โจทก์จะมิใช่เป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินให้ธนาคารในต่างประเทศก็ตามเพราะมาตรา70วรรคแรกหาได้บัญญัติว่าผู้จ่ายต้องเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินด้วยไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และให้งดหรือลดเงินเพิ่มแก่โจทก์ หากศาลเห็นว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจำนวนใด ๆ
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อปี 2529 เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยได้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2523 และปี 2524 แล้วแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้นิติบุคคลให้โจทก์ชำระรวมทั้งเงินเพิ่มสำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย ในปี 2523 เป็นเงิน 145,015 บาท ในปี 2524เป็นเงิน 46,523 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลปี 2523 เป็นเงิน7,975,427 บาท และปี 2524 เป็นเงิน 509,814 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8,676,778 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นชอบด้วยกับการประเมินและมีคำสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปัญหาเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย โจทก์อุทธรณ์ว่า เงินที่โจทก์ส่งออกไปให้ธนาคารในต่างประเทศเป็นการชำระค่าซื้อสินค้าที่โจทก์จ่ายให้ผู้ขายในต่างประเทศ โดยผู้ขายได้นำตั๋วเงินตามที่โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคารในประเทศจ่ายให้ผู้ขายไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายตามตั๋วเงินโดยโจทก์เป็นผู้รับภาระในส่วนเงินที่ผู้ขายได้รับน้อยลงเนื่องจากการขายลดนั้นเห็นว่า เงินที่โจทก์ส่งออกไปให้ธนาคารในต่างประเทศนั้น แม้เดิมโจทก์จะเจตนาให้เป็นค่าสินค้าที่โจทก์ซื้อจากผู้ขายในต่างประเทศก็ตาม แต่เมื่อผู้ขายได้นำตั๋วเงินที่โจทก์ต้องชำระไปขายลดให้แก่ธนาคารในต่างประเทศเสียแล้วธนาคารในต่างประเทศจึงเป็นผู้ที่จะได้รับเงินที่โจทก์จะต้องชำระนั้นต่อไป หาใช่ผู้ขายสินค้าอีกไม่ เงินส่วนที่ธนาคารในต่างประเทศได้จากโจทก์เนื่องจากการขายลดตั๋วเงินของผู้ขายลดตั๋วเงินของผู้ขายดังกล่าวจึงเป็นเงินได้ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับดอกเบี้ยตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ในมาตรา 40(4)(ก)และเป็นเงินที่จ่ายจากประเทศไทย โจทก์ผู้จ่ายจึงต้องมีหน้าที่หักภาษีเงินได้นำส่งจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 70 วรรคแรกแม้โจทก์จะมิใช่เป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินให้ธนาคารในต่างประเทศก็ตาม เพราะตามมาตรา 70 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติแต่เพียงว่า เงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศได้รับตามมาตรา 40(2)(3)(4)(5)หรือ (6)ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทยให้ผู้จ่ายเป็นผู้หักภาษีเงินได้ดังกล่าวเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าผู้จ่ายต้องเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ขายลดตั๋วเงินหรือไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้หักภาษีเงินได้ดังกล่าวไว้และนำส่งจำเลยโจทก์จึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อจำเลย การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในเรื่องนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน