คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟัง ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษาให้จำเลย รับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นใน ปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 227 จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ซึ่งถือได้ว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีมูลหนี้ โจทก์จึงยังมี หน้าที่ต้องนำสืบถึงมูลหนี้ตามสัญญากู้เพื่อให้จำเลยรับผิด เมื่อปัญหาว่าหนี้ที่ ม.นำที่ดินโจทก์ไปจำนองธนาคารได้มีการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเสร็จสิ้นไปแล้วหรือไม่ และ ม. นำโฉนดที่ดินมาคืนโจทก์แล้วหรือไม่ ยังไม่เป็นที่ยุติ การที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และจำเลยแล้ว พิพากษาคดีไปโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) การที่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าวจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 1 กันยายน 2533 จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสี่จำนวน 500,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน กำหนดใช้ต้นเงินคืนภายในวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยในฐานผู้กู้ หลังจากจำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งสี่ไปแล้วไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเลย คิดถึงฟ้องเป็นเวลา 6 เดือน20 วัน เป็นเงินดอกเบี้ย 41,666 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 541,666 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 500,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งสี่สัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม โจทก์ทั้งสี่ได้ร่วมกันทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวขึ้น และร่วมกันปลอมลายมือชื่อของจำเลยในช่องผู้กู้ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่ถูกจำเลยฟ้องเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ ข.689/2534 ของศาลชั้นต้น ในข้อหาปลอมสัญญากู้ยืมเงินในคดีนี้ ศาลชั้นต้นจึงให้จำหน่ายคดีชั่วคราวจนกว่าคดีอาญาดังกล่าวจะถึงที่สุด ต่อมาคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 550/2538ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 500,000 บาทแก่โจทก์ทั้งสี่พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่สืบพยานโจทก์ทั้งสี่จนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์ทั้งสี่นำมาฟ้องจำเลยให้รับผิดนั้นจำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้งสี่กับพวกเป็นคดีอาญาข้อหาปลอมเอกสารสัญญากู้ยืมเงินและใช้เอกสารปลอม คดีอาญาถึงที่สุดตามคดีหมายเลขแดงที่ 550/2538 ของศาลชั้นต้น โดยข้อเท็จจริงในคดีอาญาฟังได้ว่า “โจทก์ (จำเลย) ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 10019และ 10020 ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 (โจทก์ทั้งสี่) เพื่อเป็นประกันหนี้ที่นายมานพ กณะวงศ์ นำโฉนดที่ดินเลขที่ 722ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 (โจทก์ทั้งสี่) ไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ต่อธนาคารจำนวน 500,000 บาท โดยตกลงกันว่าหากนายมานพไม่สามารถนำโฉนดที่ดินเลขที่ 722 มาคืนจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 (โจทก์ทั้งสี่) ภายใน 6 เดือน โจทก์ (จำเลย)ยินยอมรับผิดชดใช้เงินจำนวน 500,000 บาท แก่จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 (โจทก์ทั้งสี่) เท่าจำนวนที่นายมานพจำนองต่อธนาคารหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นเอกสารที่แท้จริงและมีมูลหนี้จริง มิใช่เอกสารปลอม” แล้วพิพากษายกฟ้อง
มีปัญหาข้อแรกตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายในคดีนี้แล้วพิพากษาคดีไปนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายเลขแดงที่ 550/2538 ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า แม้โจทก์(จำเลย) จะไม่ได้รับเงินกู้จำนวน 500,000 บาท จากจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 (โจทก์ทั้งสี่) ก็เห็นได้ว่าโจทก์ยอมตามข้อผูกพันตามสัญญากู้ด้วยความสมัครใจเนื่องจากมีมูลหนี้ต่อกันอยู่แล้วหนังสือสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นเอกสารที่แท้จริงและมีมูลหนี้จริง แต่ในปัญหาว่าหนี้ที่นายมานพนำที่ดินโจทก์ทั้งสี่ไปจำนองธนาคารได้มีการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเสร็จสิ้นไปแล้วหรือไม่ และนายมานพนำโฉนดที่ดินมาคืนโจทก์ทั้งสี่แล้วหรือไม่ ยังไม่เป็นที่ยุติ เพราะในคดีนี้จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งสี่ ถือได้ว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีมูลหนี้ ซึ่งโจทก์ยังมีหน้าที่ต้องนำสืบถึงมูลหนี้ตามสัญญากู้เพื่อให้จำเลยรับผิด ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปนั้นจึงเป็นการวินิจฉัยโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2)ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้นจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share