คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่มีบุคคลเอารถจักรยานยนต์ของผู้ร้องไปกระทำผิดผู้ร้องย่อมไม่อาจทราบได้ทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดอย่างใด นอกจากนี้ผู้ร้องยังได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยัง บ. ผู้เช่าซื้อหลังจากที่จำเลยที่ 2 ได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำผิด จึงน่าเชื่อว่าผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดและใช้สิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอ รถจักรยานยนต์ของกลางคืน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามฐานแข่งรถในทางตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522และสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลาง 3 คัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางคันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 ซึ่งได้ให้นางบังอร พานทองเช่าซื้อ และจำเลยที่ 3 ยืมไปจากนางบังอร ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ขอให้สั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางคันดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางคันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 และผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามสำนวนในคดีอาญาฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำผิด แต่ผู้ร้องกลับนำสืบว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลยที่ 3 จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลยที่ 2และมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องฎีกาเป็นประการแรกว่าความจริงจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ของกลางคันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 ที่ผู้ร้องขอคืนในคดีนี้เหตุผิดพลาดเกิดจากการที่โจทก์พิมพ์ฟ้องสลับคันกันและผู้ร้องมิได้แก้ข้อผิดพลาดนั้นในชั้นที่ได้นำสืบเนื่องจากผู้ร้องเพิ่งมารู้ว่าผิดในวันที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นแต่กลับมายกในชั้นอุทธรณ์ผู้ร้องจึงสามารถยกขึ้นได้เพราะเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่ผู้ร้องอ้างว่าโจทก์พิมพ์ฟ้องสลับคันกัน ความจริงจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จึงไม่ชอบที่จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเพิ่งมารู้ว่าผิดในวันที่ศาลมีคำพิพากษาและเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยนั้นก็มิอาจหยิบยกขึ้นมาอ้างได้เพราะข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องอ้างว่าโจทก์พิมพ์ฟ้องสลับคันกันนั้น มิได้เป็นข้อเท็จจริงที่ยุติรับฟังได้ตามที่ผู้ร้องอ้าง ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่ามิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลชั้นต้นและไม่รับวินิจฉัยนั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องเป็นประการที่สองว่า ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 และมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 แต่ในทางกลับกันตามคำฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้นำรถจักรยานยนต์ของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งถือว่าเป็นข้อผิดพลาดของผู้ร้องที่ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์พิมพ์ฟ้องสลับคันกันมาศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษาไปตามคำฟ้องของโจทก์ ส่วนการนำสืบของผู้ร้องนำสืบไปตามข้อเท็จจริงดังกล่าวทุกประการนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาของผู้ร้องดังกล่าวเท่ากับอ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ชลบุรี5 ก-7281 โจทก์พิมพ์ฟ้องสลับคันกันซึ่งเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้นดังที่ได้วินิจฉัยในฎีกาประการแรกของผู้ร้องแล้วฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อีกทั้งฎีกาของผู้ร้องที่ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์นั้น ก็ขัดแย้งกับคำฟ้องของโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8142/2539 ของศาลแขวงชลบุรีซึ่งมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 ส่วนจำเลยที่ 3เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ชลบุรี 3 ก-9237อีกคันหนึ่ง ฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วและผู้ร้องก็มิได้นำสืบว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้ถูกต้องฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องเป็นประการสุดท้ายว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี5 ก-7281 หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี5 ก-7281 ตามใบคู่มือจดทะเบียนเอกสารหมาย ร.2 เมื่อวันที่ 5ธันวาคม 2538 ผู้ร้องได้ให้นางบังอร พานทอง มารดาจำเลยที่ 3เช่าซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปในราคา 57,240 บาทตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 3,180 บาทตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.3 นางบังอรได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องเพียง 6 งวด ถึงเดือนมิถุนายน 2539 จากนั้นไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังนางบังอรและแจ้งให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามหนังสือบอกเลิกสัญญาและหนังสือทวงถามเอกสารหมาย ร.4และ ร.6 ดังนี้ เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องในคดีอาญาของศาลแขวงชลบุรี หมายเลขแดงที่ 8142/2539 จะระบุว่านายธนากรแซ่อั้ง จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 และนายอนุวัฒน์ วีรชนาวิรุตม์กรรมการของผู้ร้องมิได้เบิกความว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 แต่เบิกความว่าผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของนายนิกร พานทอง (จำเลยที่ 3) แต่ตามคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 ผู้ร้องก็ระบุเพียงว่าจำเลยที่ 3 ได้ขอยืมรถจักรยานยนต์มาจากนางบังอร พานทองซึ่งได้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปจากผู้ร้องผู้ร้องมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือช่วยกระทำความผิดและจากคำเบิกความของนายอนุวัฒน์ตอบทนายผู้ร้องและตอบคำถามค้านของอัยการโจทก์ก็ได้ความว่า นายอนุวัฒน์ทราบจากนางบังอรว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการยึดรถจักรยานยนต์เนื่องจากบุตรชายของนางบังอรได้นำรถจักรยานยนต์ไปแข่งกับรถคันอื่นซึ่งแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นการกระทำของจำเลยที่ 3หรือจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะผู้ที่เช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากผู้ร้องคือนางบังอรมารดาของจำเลยที่ 3 หาใช่จำเลยที่ 3 ไม่และจำเลยที่ 2 ก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ร้องเลย ตามพฤติการณ์คดีนี้ การที่มีบุคคลเอารถจักรยานยนต์ของผู้ร้องไปกระทำผิดผู้ร้องย่อมไม่อาจทราบได้ อีกทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดแต่อย่างใด นอกจากนี้ผู้ร้องยังได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังนางบังอรผู้เช่าซื้อหลังจากที่จำเลยที่ 2ได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำผิด จึงน่าเชื่อว่าผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดและใช้สิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาในข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางคันหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 5 ก-7281 ให้แก่ผู้ร้อง

Share